วันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

การเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมของแม่

การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ คือการป้อนนมให้กับทารกหรือเด็กด้วยน้ำนมจากหน้าอกของผู้หญิง ทารกจะมีกลไกอัตโนมัติในการดูดที่จะทำให้เขาสามารถดูดและกลืนน้ำนมได้
มีหลักฐานจากการทดลองชี้ให้เห็นว่า น้ำนมคนเป็นแหล่งสารอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารก แต่ผู้เชี่ยวชาญยังมีความเห็นไม่ตรงกันว่าควรให้ทารกกินนมแม่นานเท่าไรจึงจะได้ประโยชน์สูงสุด และจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเท่าไรจากการให้สารทดแทนน้ำนมคนแก่ทารก
ทารกอาจจะกินน้ำนมจากอกของแม่ของตัวเองหรือผู้หญิงอื่นที่ร่างกายสามารถผลิตน้ำนมได้ (ซึ่งอาจจะเรียกว่า แม่นม) น้ำนมอาจจะถูกบีบออกมา (เช่น ใช้เครื่องปั๊มนม) และป้อนให้ทารกโดยใช้ขวด และอาจเป็นน้ำนมที่รับบริจาคมาก็ได้ สำหรับแม่หรือครอบครัวที่ไม่สามารถหรือไม่ต้องการให้ลูกกินนมแม่ก็อาจให้สารทดแทนนมแม่แทน การศึกษาวิจัยยังมีความขัดแย้งกันเกี่ยวกับคุณค่าสารอาหารในสารทดแทนนมแม่ เป็นที่รับรู้กันทั่วไปว่าการให้ทารกกินนมผสมที่มีขายในท้องตลาดจะไปรบกวนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ทั้งในทารกที่คลอดตามกำหนดและคลอดก่อนกำหนด ในหลายๆ ประเทศการให้ลูกกินสารทดแทนนมแม่ส่งผลให้อัตราการเสียชีวิตจากโรคท้องร่วงในทารกเพิ่มขึ้น แต่ในพื้นที่ที่มีน้ำสะอาดมีเพียงพอ การให้ลูกกินสารทดแทนนมแม่ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ยอมรับได้
มีนโยบายของรัฐบาลและความพยายามจากหน่วยงานนานาชาติในการส่งเสริมและสนับสนุนให้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเลี้ยงทารกในช่วงปีแรกและนานกว่านั้น องค์การอนามัยโลกและสถาบันกุมารแพทย์ของอเมริกา (American Academy of Pediatrics) ก็มีนโยบายสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

การหลั่งน้ำนม (Lactation) คือ กระบวนการในการสร้าง การหลั่ง และการไหลออกมาของน้ำนม การหลั่งน้ำนม เป็นหนึ่งในคุณลักษณะที่ใช้นิยาม สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม

คุณสมบัติของนมแม่ยังไม่เป็นที่รู้แน่ชัด แต่คุณค่าสารอาหารของน้ำนมที่สมบูรณ์แล้วจะค่อนข้างคงที่ องค์ประกอบของน้ำนมจะมาจากอาหารที่แม่รับประทานเข้าไป, สารอาหารต่างๆ ในกระแสเลือดของแม่ในระหว่างที่ให้น้ำนม และสารอาหารที่ร่างกายเก็บสะสมไว้ ในการศึกพบว่าผู้หญิงที่ให้ลูกกินนมแม่ล้วนๆ จะใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอีกวันละ 500-600 แคลอรีในการผลิตน้ำนมให้ลูก ส่วนประกอบของน้ำนมจะแตกต่างกันไปในแต่ละวัน และแต่ละชั่วโมง ขึ้นอยู่กับลักษณะการให้ทารกกินนม, อาหารที่แม่รับประทาน, และสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ดังนั้นอัตราส่วนของน้ำต่อไขมันในน้ำนมแม่จึงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
น้ำนมส่วนหน้า (Foremilk) ซึ่งเป็นน้ำนมที่ไหลออกมาในช่วงแรกของการให้นม จะค่อนข้างใส ไขมันต่ำ คาร์โบไฮเดรตสูง น้ำนมส่วนหลัง (Hindmilk) ซึ่งเป็นน้ำนมจะไหลออกมาหลังจากให้นมทารกไปได้ระยะหนึ่ง จะมีลักษณะข้นกว่า แต่ไม่มีการแบ่งแยกที่ชัดเจนระหว่างน้ำนมส่วนหน้ากับน้ำนมส่วนหลัง น้ำนมจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลง งานวิจัยของ Human Lactation Research Group ซึ่งนำโดยศาสตราจารย์ปีเตอร์ ฮาร์ทมันน์ (Peter Hartmann) แสดงว่าปริมาณไขมันจะแปรผันไปตามความสามารถในการดึงน้ำนมออกจนหมดเต้า ยิ่งมีน้ำนมในเต้าน้อยเท่าไร ปริมาณไขมันในน้ำนมจะยิ่งมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงเต้านมจะไม่มีทางหมดเต้าได้ เพระต่อมน้ำนมจะผลิตน้ำนมออกมาอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา

การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีประโยชน์ต่อทั้งแม่และทารก ทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ สารอาหารและภูมิต้านทานต่างๆ จะถูกส่งผ่านไปยังทารก ในขณะที่ฮอร์โมนจะหลั่งออกมาในร่างกายของแม่ สายสัมพันธ์ระหว่างทารกและแม่จะแนบแน่นมากขึ้นในระหว่างการให้ลูกกินนมแม่

ประโยชน์ต่อทารก

มีหลักฐานมากมายเกี่ยวกับประโยชน์ทางสุขภาพ ตามที่สถาบันกุมารแพทย์ของอเมริกากล่าวไว้ว่า
การทำงานวิจัยมากมาย โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ที่หลากหลายและน่าทึ่งของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่มีต่อทารก, แม่, สมาชิกในครอบครัว และสังคม และการใช้น้ำนมแม่เป็นอาหารสำหรับทารก ประโยชน์ที่ได้คือ สุขภาพที่ดีกว่า สารอาหาร ภูมิต้านทาน ผลดีต่อสภาพจิตใจ สังคม เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม
คำแถลงนโยบายของสถาบันกุมารแพทย์อเมริกา
ทารกที่กินนมแม่จะมีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคไหลตายในเด็ก (Sudden Infant Death Syndrome หรือ SIDS) และโรคอื่นๆ น้อยกว่า การดูดที่อกแม่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดพัฒนาการของฟันและอวัยวะในการออกเสียงอย่างเหมาะสม นอกจากนี้น้ำนมแม่ยังมีอุณภูมิที่เหมาะสมและมีพร้อมให้ทารกกินได้ทันที
ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งที่เด็กจะได้รับ จากการดื่มนมแม่ก็คือ เด็กจะมีภูมิคุ้มกันโรคได้หลายชนิด นอกจากนี้การให้ลูกดื่มนมยังช่วยให้ ลูกน้อยรู้สึกใกล้ชิดกับแม่ ซึ่งจะก่อให้เกิดความอบอุ่นใจและทำให้ลูกรู้สึกปลอดภัยอีกด้วย
การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเป็นโรคต่อไปนี้ได้
  1. โรคภูมิแพ้ (Allergies)
  2. โรคหอบหืด (Asthma)
  3. โรคไทรอยด์ (Autoimmune thyroid diseases)
  4. โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial meningitis)
  5. โรคมะเร็งเต้านม (Breast cancer)
  6. โรคขาดสารอาหาร (Celiac disease)
  7. โรคโครห์น (Crohn's disease)
  8. โรคเบาหวาน (Diabetes)
  9. โรคท้องร่วง (Diarrhea)
  10. โรคผิวหนังอักเสบออกผื่น (Eczema)
  11. กระเพาะและลำไส้เล็กอักเสบ (Gastroenteritis)
  12. โรคมะเร็งปุ่มน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กิน (Hodgkin's lymphoma)
  13. ลำไส้เล็กและใหญ่อักเสบ (Necrotizing enterocolitis)
  14. โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple sclerosis)
  15. โรคอ้วน (Obesity)
  16. หูชั้นกลางหรือแก้วหูอักเสบ (Otitis media)
  17. โรคติดเชื้อในทางเดินหายใจ (Respiratory infection และ Wheeze)
  18. โรคข้ออักเสบรูมาทอยด์ (Rheumatoid arthritis)
  19. โรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ (Urinary tract infection)

ประโยชน์ต่อแม่

การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีประโยชน์ต่อแม่ เพราะช่วยกระตุ้นการหลั่งของฮอร์โมนออกซีโทซินและโปรแลกติน ซึ่งทำให้แม่รู้สึกผ่อนคลายและมีความรู้สึกรักใคร่ทะนุถนอมทารก การให้ลูกกินนมแม่ทันทีหลังจากคลอดลูกจะช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนออกซีโทซินในร่างกาย ทำให้มดลูกเข้าอู่ได้เร็วและลดอาการตกเลือด
ไขมันที่ถูกสะสมในร่างกายในช่วงตั้งครรภ์จะถูกใช้ในการผลิตน้ำนม การยืดระยะเวลาการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้นานขึ้นจะช่วยให้แม่สามารถลดน้ำหนักตัวได้เร็ว การให้ลูกกินนมบ่อยๆ หรือให้ลูกกินนมแม่เพียงอย่างเดียวอาจจะทำให้การมีประจำเดือนช้าลง จึงมีส่วนในการช่วยคุมกำเนิด บางครั้งการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จึงถูกนำมาใช้เป็นวิธีการคุมกำเนิด ซึ่งอาจจะสามารถคุมกำเนิดได้ 98% โดยจะต้องประกอบด้วยเงื่อนไขต่อไปนี้
  • การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะต้องเป็นแหล่งอาหารเพียงอย่างเดียวของทารก และทารกจะต้องดูดน้ำนมจากอกแม่เท่านั้น การให้ทารกกินนมผสม หรือการใช้เครื่องปั๊มนมแทนที่จะให้ทารกดูดจากอก และการให้กินอาหารเสริม จะลดความสามารถในการคุมกำเนิด
  • ทารกจะต้องได้กินนมจากอกแม่ทุกๆ 4 ชั่วโมง ในตอนกลางวัน และทุกๆ 6 ชั่วโมง ในตอนกลางคืน เป็นอย่างน้อย
  • ทารกอายุไม่เกิน 6 เดือน
  • แม่จะต้องไม่มีประจำเดือนอย่างน้อย 56 วันหลังคลอด
อย่างไรก็ตามไม่แนะนำให้ใช้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นวิธีการคุมกำเนิด เนื่องจากการตกไข่หลังคลอดบุตรอาจเกิดขึ้นก่อนการมีประจำเดือน ดังนั้นผู้หญิงจึงสามารถ (และบ่อยครั้ง) ตั้งท้องได้ก่อนที่จะเริ่มกลับมามีประจำเดือนอีกครั้ง
แม่ยังคงสามารถให้ลูกกินนมแม่ในระหว่างตั้งครรภ์ได้ แต่โดยทั่วไปแล้ว การผลิตน้ำนมจะลดลงหลังจากตั้งครรภ์ได้ระยะหนึ่ง
แม่ที่ให้ลูกกินนมแม่จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลายๆ โรคลดลง เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก ฯลฯ

ขอขอบพระคุณเนื้อหาสาระจาก : http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88
ขอขอบพระคุณภาพประกอบจาก กระปุกดอทคอม

***************************************


สสส.หนุน"นมแม่ดีที่หนึ่งเลยทุกที่ ทุกคน สนับสนุนนมแม่ได้"
 
          "นมแม่" สุดยอดอาหาร ลดป่วย 3 โรคร้าย มะเร็งเม็ดเลือดขาว-เบาหวาน-อ้วน ผลวิจัยล่าสุดพบ เด็กดูดนมแม่ไอคิวดีกว่าเด็กที่ไม่ดื่มเฉลี่ยเกือบ 10 จุด

          พญ.ศิริพร กัญชนะ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย กล่าวว่า งานวิจัยจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ พบว่การดื่มนมแม่นอกจากจะทำให้ลูกไม่ป่วยบ่อย ไม่เป็นโรคแพ้โปรตีนนมวัว และยังส่งผลต่อสุขภาพของเด็กเมื่อเติบโตด้วย

            ข้อมูลยืนยันว่าเด็กที่ดื่มนมแม่จะลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้าย 3 โรค ได้มากกว่าเด็กที่ไม่ดื่มนมแม่ คือ

            1.ลดการเกิดโรคเบาหวานได้ 40% คือถ้ามีเด็กไม่ได้กินนมแม่และโตขึ้นเป็นเบาหวาน 100 คน ถ้าเปลี่ยนเด็กกลุ่มนี้มากินนมแม่ เมื่อโตขึ้นจะเป็นเบาหวานเพียง 60 คน

            2.ลดการเกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ 20%

            3.ลดการเกิดโรคอ้วนได้ 22% ซึ่งหมายความว่าอาจช่วยลดการเกิดโรคความดันโลหิตสูง และเส้นโลหิตอุดตันเมื่อสูงวัยด้วย

            ขณะที่การศึกษาล่าสุดในฟิลิปปินส์ ที่ติดตามเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 8.5 ปี พบเด็กที่ดื่มนมแม่มีไอคิวดีกว่าเด็กที่ไม่ได้ดื่มเฉลี่ยเกือบ 10 จุด

          "นมแม่ยังช่วยปกป้องสิ่งแวดล้อม เพราะไม่ต้องมีกระบวนการต้มน้ำ ไม่มีขยะ ไม่ต้องใช้กระป๋อง ไม่ใช้ขวด ไม่มีจุกนม ไม่ต้องขนส่งขณะที่กระป๋องนม 500 ล้านกระป๋อง ต้องใช้แผ่นตะกั่วในการผลิตถึง 86,000 ตัน และใช้กระดาษปะที่ข้างกระป๋องอีก 1,230 ตัน ที่สำคัญยังการให้ลูกดื่มนมแม่ มีผลดีโดยตรงต่อสุขภาพของผู้ที่เป็นแม่ช่วยลดโอกาสมะเร็งเต้านมและรังไข่ รวมถึงเกิดโรคกระดูกพรุน" พญ.ศิริพร กล่าว

            โดยในวันที่ 1-7 ส.ค. ซึ่งเป็นสัปดาห์นมแม่โลกสากล กรมอนามัย สธ.จึงร่วมกับศูนย์นมแม่ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) รณรงค์ "นมแม่ดีที่หนึ่งเลยทุกที่ ทุกคน สนับสนุนนมแม่ได้" โดยเผยแพร่ภาพพระฉายาลักษณ์โปสเตอร์ของพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมิโชติ

ขอขอบพระคุณเนื้อหาจาก หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ โดย suvimon | วันที่ 1 สิงหาคม 2551

วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

โรคทรมานหญิง สาเหตุจากการร่วมเพศ/Dr.DEN Sexociety

วันนี้ท่านผู้ชมไม่ต้องแปลกใจนะ ว่าทำไมทรายมาแปลกๆ ไยจึงมาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องเพศอะไรทำนองนี้ สืบเนื่องมาจากทรายได้เคยพูดคุยกับบรรดาผู้ประสบปัญหาสุขภาพจากการมีเพศสัมพันธ์ จึงได้ค้นคว้าเพื่อมานำเสนอให้เพื่อนๆได้รับทราบกันบ้าง สำหรับบทความนี้มาจากเวปไซต์ผู้จัดการ http://manager.co.th หากมีปัญหาข้อข้องใจปรึกษาคุณหมอโดยตรงนะคะ อยาปล่อยให้ปัญหานั้นลุกลามใหญ่โตจนมิอาจแก้ได้เลยค่ะ
5 โรคทรมานหญิง สาเหตุจากการร่วมเพศ/Dr.DEN Sexociety
       คอลัมน์ Sexociety โดย Dr.DEN
    
       โรคที่เกิดจากการร่วมเพศ หรือ กามโรค มีด้วยกัน 5 โรคคือ
       1. โรคตกขาว (TRICHOMONIASIS)
    
       คือการติดเชื้อในช่องคลอด โดยมีสาเหตุจากพยาธิ มีลักษณะอาการขับสารสีเขียวหรือเหลืองข้น มักจะมีกลิ่นเหม็นหรือคันและแสบร้อน ต้องรักษาใช้ยาตามใบสั่งแพทย์
    
       2. โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ (CHLAMYDIA)
    
       เป็นการติดเชื้อแบคทีเรีย สังเกตได้ว่าจะมีการขับสารสีเขียวหรือเหลืองข้น เจ็บหรือแสบร้อนขณะปัสสาวะ หรือไม่มีสัญญาณใดๆ ต้องมีหาหมอ เพื่อใช้ยาปฏิชีวนะรักษา หากปล่อยทิ้งไว้ มันอาจเป็นอันตรายต่อการเจริญพันธุ์ของคุณได้
    
       3. โรคหนองใน (GONORRHEA)
    
       เป็นการติดเชื้อแบคทีเรียเหมือนกัน จะปวดแสบปวดร้อนขณะปัสสาวะ ขับสารสีเขียวหรือเหลืองข้น หรือไม่มีสัญญาณใดๆ สามารถใช้ยาปฏิชีวนะรักษาได้ แต่ถ้าปล่อยไว้โดยไม่ตรวจ มันอาจมีผลต่อการเจริญพันธุ์ของคุณได้
    
       4. โรคหงอนไก่ (HPV)
    
       เกิดจากการติดเชื้อไวรัส โดยทั่วไปจะไม่มีอาการใดๆ แต่ไวรัสบางชนิดทำให้เกิดหูดหรือที่เรียกว่าหงอนไก่ได้
    
       HPV บางชนิดนำไปสู่มะเร็งปากมดลูก แต่เชื้อ HPV มักตรวจไม่ค่อยพบ ดังนั้นสูตินรีแพทย์ของคุณอาจตรวจซ้ำใน 3 ถึง 6 เดือน ถ้าคุณมีหูดหรือหงอนไก่ หมอก็จะกำจัดมันด้วยครีมหรือเลเซอร์
    
       5. โรคเริมอวัยวะเพศ (GENITAL HERPES)
    
       เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเช่นกัน เวลาเป็น..จะมีอาการคัน เจ็บปวด เป็นตุ่มพุพองคล้ายสิว แต่บางคนไม่มีสัญญาณใดๆ ไปหาหมอกินยาตามใบสั่งแพทย์ จะช่วยลดอาการลงได้
    
       *วิธีป้องกัน*
       : อย่าอายที่จะใช้สารหล่อลื่น
    
       การหล่อลื่นเพิ่มเติมจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อกามโรคของคุณได้โดยทำให้ช่องคลอดของคุณเปียกลื่นอยู่เสมอในขณะร่วมเพศ และนั่นเป็นการป้องกันมิให้เกิดแผลถลอกจิ๋วๆ ซึ่งแบคทีเรียและไวรัสจะแทรกซึมเข้าไปใน ร่างกายของคุณได้
    
       “สารหล่อลื่นยังช่วยลดการเสียดสีซึ่งอาจทำให้ถุงยางฉีกขาดขณะร่วมเพศได้ด้วย”
    
       ดร.คัลลินส์ กล่าว ดังนั้นคุณควรเก็บสารหล่อลื่นสักหลอด ไว้ในลิ้นชักหัวเตียงและอีก 1 หลอดจิ๋วๆหรือซองที่ใช้ครั้งเดียวไว้ในกระเป๋าถือของคุณ และอย่าอายที่จะหยิบมันออกมาใช้ มันเป็นเรื่องปกติที่ความเครียด รอบเดือน หรือแม้แต่การร่วมรักอันยาวนานที่เกี่ยวข้องกับการเสียดสีภายใน จะลดการผลิตสารหล่อลื่นตามธรรมชาติของคุณลงไป เพราะฉะนั้นคุณควรมีสารหล่อลื่นในหลอด เก็บไว้ใกล้ๆมือจะดีกว่า
    
       : สำรวจให้แน่ใจก่อนร่วมเพศ
    
       ถ้าเชื้อกามโรคสร้างเบาะแสอันชัดเจนต่อสายตาเสมอ มันก็ดีสิ เพราะมันช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงมันได้แต่โชคไม่ดีที่มันไม่เป็นเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม เชื้อโรคหลายตัวยังทิ้งหลักฐานทางกายภาพไว้ให้เห็นจนได้ เช่น ผื่นแดง การขับสาร ตุ่มพุพอง เป็นต้น และมันก็คุ้มค่าต่อการสำรวจเครื่องเคราของผู้ชายของคุณอย่างละเอียดในระหว่างการโหมโรง
    
       ยิ่งกว่านั้น จงสังเกตว่าผู้ชายของคุณ แสดงปฏิกิริยาด้วยความเจ็บปวดหรืออึดอัดใจอะไรหรือไม่เมื่อคุณสัมผัสองคชาตของเขา เพราะปฏิกิริยาดังกล่าวนี้สามารถเป็นสัญญาณของการติดเชื้อได้เช่นกัน ถ้าเขาเลิกคิ้วหรือสะดุ้ง ก็ให้ถามเขาทันทีว่าเป็นอะไร ใช่ มันอาจทำให้หมดอารมณ์ได้ แต่มันสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ตลอดชีวิต
    
       : อย่าควบขณะมึนเมา
    
       แน่ละ เรารู้ว่าการดื่มสักแก้วสองแก้วจะทำให้คุณมีโลกทรรศน์อันเซ็กซี่ได้ ซึ่งก็ดีอยู่หรอก แต่มันไม่ได้ช่วยให้คุณฉลาดขึ้นแต่ประการใด การมีเซ็กซ์ในเขตอันตรายอันกว้างขวางระหว่าง “มึนนิดๆ” กับ “เมาปลิ้น” นั้นเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อกามโรคมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะคุณจะมีแนวโน้มลดลงในการยืนกรานให้เขาใช้ถุงยาง หรือ รู้ว่าเขาสวมมันอย่างถูกต้องหรือเปล่า ไม่ต้องพูดถึงว่าคุณจะมีสติพอที่จะหยิบถุงยางอันของคุณออกมาใช้หรอก คุณจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ หรือกำลังมีอะไรกับใคร เพราะฉะนั้นอย่าดื่มสุราจนมึนเมาเป็นอันขาด ไม่ว่าคุณจะขับรถหรือควบคน
    
       : ให้แน่ใจว่ามันแนบกระชับ
    
       ถุงยางแทบไม่มีประโยชน์เลยถ้าไม่ครอบคลุมตลอดองคชาตอย่างแนบกระชับ และมีช่องว่างเล็กๆตรงปลายสำหรับรองรับน้ำอสุจิขณะไคลแม็กซ์
    
       รายงานข่าวเมื่อเร็วๆนี้แสดงให้เห็นว่า ผู้ชายจำนวนมากชอบซื้อถุงยางที่มีขนาดใหญ่เกินตัวองคชาตของเขา เพราะมันช่วยปลอบอหังการของพวกเขา (ว่ากูใหญ่นะเฟ้ย) แม้ว่าถุงยางอันนั้นจะหลวมโพรกเหมือนสวมถุงก๊อบแก๊บก็ตาม แต่ความหลวมมันหมายถึง แนวโน้มที่ถุงยางจะหลุดอยู่ในตัวคุณผู้หญิง อันเป็นการเปิดสู่การติดเชื้อกามโรคอย่างยิ่ง
    
       ดังนั้น คุณควรจับตามองผู้ชายของคุณขณะเขารูดสวมถุงยาง และถ้ามันไม่ฟิต อย่างกางเกงยีนส์แนบเนื้อตัวโปรดของคุณละก็ รีบไปหยิบอันของคุณเองและพูดในทำนองว่า “ใช้ของฉันเถอะ รุ่นนี้ทำให้ฉันเร่าร้อนกว่าเยอะ” จากนั้นก็ยื่นขนาดมาตรฐานให้เขา

วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2556

อนุมูลอิสระ แซนโตน

อนุมูลอิสระ มัจจุราชแห่งกาลเวลา



อะไรคืออนุมูลอิสระ? และอนุมูลอิสระทำร้ายร่างกายได้อย่างไร?

เชื่อว่าเราทุกคนคงเคยได้ยินคำว่า “อนุมูลอิสระ” ผ่านหูกันวันละหลายหน แต่มีน้อยคนนักที่จะรู้จักและเข้าใจการทำงานของอนุมูลอิสระอย่างแท้จริง อนุมูลอิสระสามารถเปรียบเทียบได้กับระเบิดลูกปิงปองลูกเล็กๆ ที่เจือปนอยู่ในอาหารที่เรากิน อยู่ในน้ำที่เราดื่ม อยู่ในบุหรี่ที่เราสูบ และอยู่ในมลพิษทางอากาศและแสงรังสีที่เราสัมผัส หรืออาจจะเรียกได้ว่าอนุมูลอิสระเป็นระเบิดปิงปองลูกเล็ก (เล็กมากจนไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า) ที่มีอยู่รอบๆตัวเรา และเราสามารถรับเจ้าระเบิดลูกเล็กต่างๆเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายได้ง่ายมาก หลายครั้งเราเองเป็นผู้หยิบมันใส่ปากด้วยซ้ำไป
 

แม้ว่าเราจะเปรียบเทียบอนุมูลอิสระให้เป็นระเบิดปิงปองลูกเล็กๆ แต่อานุภาพในการทำลายของมันกลับไม่เล็กเหมือนขนาด โดยเมื่ออนุมูลอิสระสามารถเข้าสู่ร่างกายเราได้แล้ว เหล่าอนุภาคเล็กๆเหล่านี้จะก่อให้เกิดปฏิกิริยาเคมีที่สามารถเปรียบได้กับการระเบิดเล็กๆ  จำนวนมากมายกับเซลล์ทั่วร่างกาย แม้ว่าเราอาจจะไม่สามารถรู้สึกถึงแรงระเบิดที่เกิดขึ้น แต่ผลลัพท์จากการระเบิดนั้นอาจสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงให้กับเซลล์ต่างๆจนร่างกายไม่อาจฟื้นฟูให้กลับมามีสภาพดังเดิมได้ การระเบิดเล็กๆที่เกิดขึ้นในระดับเซลล์นี้ เราเรียกว่าปฏิกริยาอ๊อกซิเดชั่น (Oxidation Damages) หรือการเกิดอ๊อกซิเดทีฟ สเตรส (Oxidative Stress) ภายในร่างกาย

โดยที่เมื่ออนุมูลอิสระ หรือลูกระเบิดปิงปองเล็กๆเหล่านี้เข้าสู่ร่างกาย อาจจะมาจากควันของบุหรี่ (ซึ่งจะทำให้เกิดอ๊อกซิเดทีฟ สเตรส Oxidative Stress ขึ้นเป็นจำนวนมากที่เซลล์ของถุงลมเล็กๆภายในปอด) หรืออาจจะมาจากอาหาร (ซึ่งจะเกิดจากการย่อยอาหาร และนำพาอนุมูลอิสระเข้าสู่ร่างกายผ่านทางกระแสโลหิตอย่างรวดเร็ว) อนุมูลอิสระเล็กๆแต่มีจำนวนมหาศาลเหล่านี้ จะเข้าทำปฏิกิริยาเคมีกับเซลล์ของร่างกาย ซึ่งอาจจะเป็นอวัยวะใดอวัยวะหนึ่ง หรือหลายอวัยวะพร้อมๆกัน ผลจากการทำปฏิกิริยาเคมีนี้ จะทำให้เซลล์เกิดความเสียหายและเกิดอนุมูลอิสระตัวใหม่เกิดขึ้นได้ด้วย ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าอนุมูลอิสระที่ผ่านการทำปฏิกิริยาการระเบิดกับเซลล์แล้วก็ยังไม่สิ้นฤทธิ์ แต่ยังเป็นการก่อกำเนิดอนุมูลอิสระตัวใหม่ขึ้นมาทดแทนตัวเก่าได้อีกด้วย บางครั้งเราจึงเรียกปฏิกิริยาแบบนี้ว่าปฏิกิริยาแบบลูกโซ่

เมื่อเป็นเช่นนี้ ร่างกายเราจึงเป็นที่สะสมของอนุมูลอิสระทั้งใหม่ทั้งเก่าจำนวนมากมายมหาศาล และเกิดปฏิกิริยาอ๊อกซิเดทีฟ สเตรส (Oxidative Stress) ขึ้นภายในร่างกายตลอดเวลาเช่นเดียวกัน ซึ่งผลจากอ๊อกซิเดทีฟ สเตรส (Oxidative Stress) จำนวนนับครั้งไม่ถ้วนเหล่านี้ จะทำให้ร่างกายเกิดความเสื่อมถอยไปเรื่อยๆ เปรียบได้กับการปล่อยให้รถยนต์มีสนิมอยู่เป็นจำนวนมาก วันนึงรถยนต์คันนี้ก็จะแสดงอาการผิดปรกติอย่างหนึ่งอย่างใดออกมาให้เห็น ซึ่งนั่นก็แปลว่ามีอะไหล่บางชิ้นของรถคันนี้ถูกสนิมเล่นงานจนไม่อาจทำงานได้อย่างสมบูรณ์อีกต่อไป ซึ่งกลไกในการกำจัดสนิมออกจากรถยนต์ก็แตกต่างไปจากการกำจัดอนุมูลอิสระในร่างกาย
จากงานวิจัยทางการแพทย์ที่กระทำอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับผลของการเกิดปฏิกิริยาอ๊อกซเดชั่นในร่างกาย ทำให้เราได้รับทราบข้อมูลอันน่าตกใจว่า ปฏิกิริยาลูกโซ่เล็กๆภายในร่างกายนี้เอง ที่เป็นสาเหตุสำคัญของโรคร้ายแรงจำนวนมากในปัจจุบัน และเป็นที่มาของโรคที่เป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ในแทบทุกประเทศทั่วโลก นั่นคือ
  1. โรคมะเร็ง
  2. โรคหัวใจ
  3. โรคเบาหวาน
  4. ฯลฯ
สิ่งที่อนุมูลอิสระทำร้ายร่างกายอย่างเงียบๆและใช้เวลาอย่างยาวนานจึงปรากฏผลออกมาเป็นอาการของโรคที่หลายครั้งก็สายเกินไปที่เราจะหันกลับไปป้องกันร่างกายได้อย่างทันท่วงที ด้วยเหตุนี้จึงสามารถกล่าวได้ว่าอนุมูลอิสระคือเพชฌฆาตเงียบที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในปัจจุบัน และเราทุกคนต่างมีโอกาสเสี่ยงกับเพชฌฆาตตัวนี้อย่างเท่าเทียมกัน



การรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงดีอย่างไร?
สารต้านอนุมูลอิสระคือสารประกอบตามธรรมชาติที่มีความสามารถในการปลดชนวนความเป็นระเบิดของอนุมูลอิสระได้ โดยหากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพแล้ว เราก็สามารถสมมุติให้สารต้านอนุมูลอิสระเป็นเสมือนหน่วยทหารที่ถูกฝึกให้มีความสามารถในปฏิบัติการณ์เก็บกู้วัตถุระเบิดนั่นเอง เมื่อเราได้รับสารต้านอนุมูลอิสระเข้าสู่ร่างกาย สารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ก็จะล่องลอยไปตามร่างกายส่วนต่างๆ ทั้งส่วนที่เป็นเนื้อเยื่อ เป็นเซลล์ รวมทั้งในกระแสเลือด และเมื่อสารต้านอนุมูลอิสระเดินทางไปพบกับเป้าหมาย ซึ่งก็คืออนุภาคของอนุมูลอิสระ สารต้านอนุมูลอิสระก็จะตรงปรี่เข้าไปปลดชนวนระเบิดเพื่อให้ระเบิดลูกนี้ไม่สามารถระเบิดได้อีกต่อไป และสามารถอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ได้ว่าสารต้านอนุมูลอิสระจะแลกเปลี่ยนอิเลคตรอนอิออนกับอนุภาคของอนุมูลอิสระ และทำให้อนุมูลอิสระกลายสภาพเป็นอนุภาคที่มีความเสถียร และไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่นอีกต่อไป

ดังนั้นเราจะเห็นว่าสารต้านอนุมูลอิสระคือสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นเพื่อเป็นประโยชน์แก่พวกเราทุกคน โดยสารต้านอนุมูลอิสระสามารถลดจำนวนของอนุภาคอนุมูลอิสระในร่างกายของเราให้มีจำนวนน้อยลง และไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ จึงไม่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระลูกใหม่แต่อย่างใด และที่เหนือสิ่งอื่นใดคือเราสามารถพบสารต้านอนุมูลอิสระได้จากอาหารที่อยู่ใกล้ๆตัวเรา อาทิเช่น ผักสด ผลไม้สด

ถ้าจะบอกว่าสิ่งที่มีคุณสมบัติในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เราสามารถพบเจอในชีวิตประจำวัน ก็ได้แก่วิตตามินต่างๆ เช่นวิตตามิน อี, วิตตามิน ซี, หรือสารประกอบจำพวกเบต้าแคโรทีน ซึ่งพบมากในผักผลไม้ชนิดต่างๆที่เราสามารถหาซื้อได้ทั่วไปตามท้องตลาด จริงอยู่ที่ผักผลไม้ต่างๆหลากหลายชนิดล้วนแล้วแต่มีสารอาหารที่มีประโยชน์และสามารถต้านอนุมูลอิสระได้ แต่สิ่งสำคัญและเป็นสิ่งที่เราควรคำนึงถึงเมื่อต้องการเลือกซื้ออาหารต่างๆเหล่านี้คือ เราจะต้องรับประทานอาหารต่างๆเหล่านี้ในปริมาณเท่าไร? จึงจะได้ทหารที่ชื่อว่าสารต้านอนุมูลอิสระอย่างเพียงพอ ที่จะรับมือกับระเบิดปิงปองจำนวนมหาศาลในร่างกายเรา

อาหารที่เรารับประทานเป็นประจำมีสารต้านอนุมูลอิสระมากเพียงใด?

ในปัจจุบันเราวัดความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระของอาหารแต่ละชนิด ด้วยกรรมวิธีมาตรฐานที่เรียกว่า การวัดค่าคะแนนโอแรค (ORAC Score : Oxygen Radical Absorbance Capacity) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ ว่าสามารถให้ผลการวิเคราะห์ที่เชื่อถือได้ และจากการวิจัยพบว่า อาหารที่เรารับประทานเป็นประจำเช่น ข้าวสวย 1 จาน หรืออาหารตามสั่งมื้อง่ายๆที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราไปแล้ว  มีสารต้านอนุมูลอิสระในจำนวนไม่มากนัก และจากงานวิจัยหลายชิ้นที่ทำการศึกษาถึงปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระที่เราทุกคนควรได้รับจากการบริโภคอาหารในแต่ละวัน เพื่อให้เพียงพอต่อการรับมือจากการเข้าทำลายเซลล์ของอนุมูลอิสระ  ก็พบว่าอาหารที่เรารับประทานเป็นประจำมีแนวโน้มที่จะไม่สามารถให้สารต้านอนุมูลอิสระในประมาณที่เพียงพอได้

การรับประทานอาหารที่มีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระสูงเป็นประจำอย่างต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งที่เราควรกระทำไปตลอดทั้งชีวิต เนื่องจากในความเป็นจริงแล้ว เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องบริโภคอนุมูลอิสระหรือกองทัพระเบิดปิงปองเหล่านี้เข้าไปพร้อมกับอาหาร หรือจากอากาศที่เราสูดดม และในความเป็นจริงแล้วกลไกในการเผาผลาญสารอาหารเพื่อผลิตพลังงานให้กับเซลล์ต่างๆในร่างกาย ก็เป็นอีกกลไกหนึ่งที่จะทำให้เกิดอนุมูลอิสระขึ้นในร่างกาย จนสามารถกล่าวได้ว่าร่างกายเราไม่มีวันที่จะปลอดจากอนุมูลอิสระได้เลย สิ่งที่เราควรทำคือลดโอกาสในการเกิดปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่นจากอนุมูลอิสระต่างๆเหล่านี้ไปชั่วชีวิต ด้วยการเลือกบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพในการป้องกันร่างกายจากอนุมูลอิสระอย่างแท้จริง


อะไรคือแซนโทน?
แซนโทนเป็นชื่อของสารประกอบที่สามารถพบได้ในธรรมชาติ และมีลักษณะคล้ายวิตตามิน แท้ที่จริงแล้วแซนโทนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่อยู่ในกลุ่มฟลาโวนอยด์ มีส่วนช่วยในการปรับสมดุลการทำงานของเซลล์ในร่างกายมนุษย์ให้ทำงานปกติและเหมาะสม โครงสร้างทางเคมีของแซนโทนมีรูปร่างเหมือนแหวนเพชรสามวงเกี่ยวกันเป็นห่วงคล้ายรังผึ้ง สิ่งที่ทำให้แซนโทนมีความโดดเด่นหนือสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆที่พบในธรรมชาติ นั่นคือนอกจากแซนโทนจะสามารถทำหน้าที่ในการต้านอนุมูลอิสระได้อย่างยอดเยี่ยมแล้ว แซนโทนยังก่อให้เกิดคุณประโยชน์แก่ร่างกายในหลายประการ นั่นคือ
  • ฤทธิ์ในการลดอาการภูมิแพ้ที่เกิดขึ้นในระบบทางเดินหายใจ  ส่งผลให้ระบบทางเดินหายใจมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ฤทธิ์ในการต้านเชื้อแบคทีเรีย, เชื้อไวรัสที่อยู่นอกเซลล์ และเชื้อรา ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายสามารถจัดการกับสิ่งแปลกปลอมทางชีวภาพนี้ได้ดียิ่งขึ้น
  • ลดการเกิด Oxidized LDL Cholesterols ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือด และโรคหัวใจขาดเลือด
  • ลดอาการอักเสบช้ำบวม, ลดอาการปวดข้อและเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อต่อต่างๆทั่วร่างกาย
  • ปัจจุบันยังมีนักวิทยาศาสตร์และบุคคลากรทางการแพทย์ทำการวิจัยเพื่อไขความลับจากสารประกอบแซนโทนในธรรมชาติ อาทิเช่น  ฤทธิ์ในการยับยั้งเซลล์มะเร็งชนิดต่างๆ เช่นเซลล์มะเร็งตับ (Liver cancer), เซลล์มะเร็งต่อมลูกหมาก (Prostate cancer) ฯลฯ ในระดับห้องปฏิบัติการและสัตว์ทดลอง และยังมีความลับอีกมากมายของสารประกอบแซนโทนที่รอการค้นพบ
บทส่งท้าย
การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีสารอาหารครบถ้วนทั้ง 5 หมู่อาหาร สะอาดถูกสุขลักษณะ มีความเหมาะสมในช่วงเวลาที่ควรรับประทาน มีความพอดีไม่มากไม่น้อย และผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนประเภทของอาหารในแต่ละมื้อ จะช่วยทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ และไม่เกิดอาการเจ็บป่วยตามมาในภายหลัง การรับประทานอาหารเสริมใดๆก็ตาม ควรศึกษาอย่างถ้วนถี่ ใคร่ครวญ พินิจพิจารณาถึงความเป็นไปได้ หากไม่ทราบในรายละเอียดควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรผู้เชี่ยวชาญจะเป็นการดีที่สุดค่ะ

ยอดใบชาไทย ยอดใบชาขาว ยอดใบชาเขียว จากจังหวัดเชียงราย
และ ผงชาไทย ผงชาดำ ผงชาแดง ผงชาเขียวมะลิ ผงชาเขียวมัชฉะ
ผงชาซีลอน ผงชาอัสสัม ผงชาชักมาเลย์ ผงชาเหลือง
เมล็ดกาแฟคั่วจากดอยภูผาตั้งเชียงราย เมล็ดกาแฟคั่วจากปักษ์ใต้ ฯลฯ
"สัมผัสอรรถรสสดสะอาดจากธรรมชาติ หอมกลิ่นกรุ่นด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว"
สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่ คุณ พนารัตน์ 090-1211078

ด้วยรักและปรารถนาดี
ทราย สุขรดา
พุธ ๒๓ มกราคม ๒๕๕๖ เวลา ๒๒.๑๘ น.
บ้านทรายสุขรดา กาแฟแห่งความรัก ชาชักแห่งความผูกพัน

วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2556

ศีรษะล้าน ผมบาง ผมร่วง

ปัญหาน่าหนักใจ(ศีรษะล้าน)ใครช่วยบอกที
เส้นผมและทรงผมมีอิทธิพลต่อความสวยความงามของมนุษย์อย่างมากทีเดียว ใครที่ไม่มีปัญหาในเรื่องนี้ก็จะไม่ซาบซึ้งถึงความสำคัญนัก
ผมคนเราในแต่ละช่วงเวลาจะมีอยู่ประมาณหนึ่งแสนเส้น ผมจะงอกยาวออกมาเฉลี่ยวันละประมาณครึ่งมิลลิเมตร หรือประมาณ 1 เซนติเมตรต่อเดือน อัตราการงอกนี้จะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น
ปกติผมคนเราจะร่วงประมาณ วันละ 25-100 เส้น ถ้าวันไหนสระผมหรือดึงผมเล่นบ่อย ๆ โอกาสที่ผมจะร่วงมีมากขึ้นกว่าปกติ และถ้าผมร่วงอยู่ในเกณฑ์ปกติจะมีผมใหม่ขึ้นมาทดแทนเสมอ ทำให้จำนวนผมไม่ลดลงและศีรษะไม่ล้าน
หมายเหตุ:ภาพต่างๆเป็นเพียงภาพประกอบบทความ มิได้ความเกี่ยวข้องเพื่อการค้าใดๆทั้งสิ้น

  • ศีรษะล้านคืออะไร
    ศีรษะล้านเป็นอาการผมบาง หรือผมร่วง ซึ่งเกิดขึ้นช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไป ส่วนใหญ่มักเป็นในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ซึ่งเริ่มต้นเป็นจากชายผมก่อน พูดง่าย ๆ คือ เริ่มหัวเถิกก่อน และตรงกลางกระหม่อมจะเริ่มบางเป็นลักษณะเหมือนไข่ดาว สองส่วนนี้จะค่อย ๆ เลื่อนเข้ามาชนกัน พอชนกันปุ๊บศีรษะก็จะเหน่ง
    สิ่งที่แปลกคือ เป็นเฉพาะด้านหน้ากับด้านบนเท่านั้น ส่วนผมที่อยู่ด้านข้างและท้ายทอยค่อนข้างจะทน และศีรษะล้านเป็นลักษณะค่อนข้างเฉพาะตัว และใช้เวลาเป็นปี ๆ หลาย ๆ ปี ส่วนการจะเกิดเร็ว เกิดช้าขึ้นกับแต่ละบุคคล

  • ศีรษะล้านเป็นกรรมพันธุ์หรือไม่
    ภาวะศีรษะล้านเป็นกรรมพันธุ์ ถ้านครอบครัวมีประวัติปู่ ตา ลุง พ่อ ศีรษะล้านหรือผมบาง ตัวเองก็มีโอกาสที่จะศีรษะล้าน ส่วนว่าจะล้านเมื่อไหร่นั้น ต้องแล้วแต่กรรมพันธุ์ของแต่ละคน บางคนอายุ 20 กระบวนการนี้เริ่มแล้ว บางคนอายุเลย 40 ยังไม่เกิดเลย เป็นความแตกต่าง และเป็นธรรมชาติของแต่ละบุคคล บางคนอายุ 30 เศษ ๆ เหน่งแล้ว เหมือนกับคนผมหงอก บางคนอายุยังไม่ถึง 30 หงอกแล้ว หรือบางคนอายุ 60-70 เพิ่งจะมีผมขาวประปราย ซึ่งขึ้นกับพื้นเพของแต่ละคน คนที่ไม่มีประวัติศีรษะล้านในครอบครัว ก็มีโอกาสศีรษะล้านได้(แต่น้อย) เพราะว่าทางพันธุกรรมมีลักษณะอย่างหนึ่ง เรียกว่า ผ่าเหล่า คือเกิดเฉพาะในคนบางคนเท่านั้น

    คนไข้บางรายบอกว่าในครอบครัวไม่มีใครเป็นแบบนี้เลย ทำไมอยู่ดี ๆ อายุยังไม่ถึง 40 เหน่งแล้ว กรณีอย่างนี้ทำให้คนไข้เดือดร้อนมาก ถ้าเป็นคนที่มีประวัติของญาติพี่น้องศีรษะล้านจะทำให้ยอมรับง่ายกว่าเพราะเห็นมาแล้ว แต่ถ้าคนที่ไม่เคยมีประวัติ จะยอมรับยาก มีหลายคนวิตกกังวลว่า ผมร่วงมากกลัวจะล้านเร็วขึ้น อันนี้จะต้องทำความเข้าใจว่าศีรษะล้านเป็นไปโดยธรรมชาติ ค่อยเป็นค่อยไป เป็นตัวของตัวเอง ไม่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของเรา เช่น ไม่ว่าจะกินอาหารน้อยไป มากไป หรือจะออกกำลังกายหรือไม่ออกกำลังกายก็ตามที จะไม่มีผล เพราะว่าผมร่วงเป็นลักษณะธรรมชาติ
ศีรษะล้านเป็นเรื่องของกรรมพันธุ์ที่ได้มาตั้งแต่เกิดแล้ว แต่ลักษณะนี้จะแสดงออกได้ง่ายหรือยากขึ้นกับฮอร์โมน เช่น พี่น้อง 2 คน คนโตเป็นชาย น้องเป็นหญิง เกิดจากพ่อแม่เดียวกัน ทั้ง 2 คนได้รับยีน(พันธุกรรม)ศีรษะล้านมาทั้งคู่ พี่ชายจะแสดงอาการได้เด่นชัด เพราะว่าฮอร์โมนเพศชายจะช่วยทำให้ลักษณะอันนี้แสดงออกได้ง่าย ตรงกันข้าม ถ้าดูน้องสาว แม้จะมีลักษณะนี้อยู่ แต่ฮอร์โมนเพศหญิงจะปิดบังไม่ให้ยีนตัวนี้แสดงออก เพราะถ้าดูดี ๆ ก็อาจจะมีผมบาง แต่จะไม่ล้านเหมือนพี่ชาย ถ้าไปเทียบกับหญิงอื่นทั่ว ๆ ไป อาจจะมีผมบางกว่าคนอื่น
จริง ๆ แล้วศีรษะล้านในผู้หญิงก็เป็นไปได้ แต่มีลักษณะน้อยกว่า จึงไม่เรียกว่าศีรษะล้าน ซึ่งลักษณะนี้เป็นลักษณะเด่น และการที่ในร่างกายมีพันธุกรรมอะไรบางอย่างอยู่ในร่างกาย ไม่จำเป็นจะต้องแสดงออกมาทุกครั้งเสมอไป

  • ความรุนแรงของศีรษะล้าน
    ศีรษะล้านที่พบบ่อย เห็นกันอยู่ทั่ว ๆ ไปคือ โรคผมบางในวัยกลางคน มีชื่อเรียกไว้หลายอย่างด้วยกัน ตามแต่ลักษณะและระดับของความล้าน เช่น ทุ่งหมาหลง ดงช้างข้ามง่ามเทโพ ชะโดตีแปลง แร้งกระพือปีก ฉีกขวานกว้าง ราชคลึงเครา
















 มีผู้จำแนกความรุนแรงของศีรษะล้านออกเป็น 7 ระยะด้วยกัน
1. ผมดกตามปกติ
2. เริ่มมีการถอยร่นของแนวผมเข้าไปตามขมับทั้ง 2 ข้าง
3. การถอยร่นมีมากจนเกือบศีรษะเถิก หรืออาจมีผมร่วงกลางกระหม่อมร่วมด้วย
4. ศีรษะเถิกมากขึ้นทั้งตามแถวขมับและแนวหน้าผาก
5. ศีรษะเถิกมากขึ้นอีก และกระหม่อมเริ่มมีผมบางลงชัดเจน
6. บริเวณศีรษะเถิก และบริเวณล้านกลางกระหม่อมขยายมาชนกัน
7. ศีรษะล้านทั้งศีรษะ มีไรผมบาง ๆ อยู่บ้าง มีผมเหลืออยู่แนวเหนือหูทั้ง 2 ข้างและด้านหลัง

  • ศีรษะล้านรักษาให้หายขาดได้หรือไม่
    การรักษานั้นมีความพยายามกันมานานแล้ว และต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า ศีรษะล้านถือเป็นปมด้อย ตั้งแต่โบราณแล้ว (ตัวอย่างที่เห็นชัดในวรรณคดี คือ ขุนช้าง) และมีความพยายามที่จะรักษากันมาตลอดแต่ไม่เคยประสบความสำเร็จจริงจัง เพราะถ้าประสบความสำเร็จ คงไม่มีคนศีรษะล้านให้เห็นกันแล้ว

    ปัจจุบันยาที่ใช้มีหลายชนิด แต่สรรพคุณเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ยาก เพราะอาการศีรษะล้านเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่จำเป็นต้องเถิกไปเรื่อย ๆ ในอัตราเท่าเดิม สมมติว่าคน ๆ หนึ่งศีรษะเถิกวันนี้ กว่าจะล้านอาจใช้เวลาถึง 15 ปี แต่ในช่วง 15 ปีนี้ผมจะค่อย ๆ บางลงช้า ๆ ไม่จำเป็นจะต้องบางลงในอัตราที่เท่าเดิม บางครั้งเร็ว บางครั้งช้า และบางครั้งหยุดซึ่งต้องใช้เวลานานมาก สมมติว่าเอายายี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่งมาทา ทาไปแล้วบังเอิญเป็นช่วงที่ผมร่วงมาก ก็บอกว่ายานี้ใช้ไม่ได้ผล ถ้าช่วงไหนทาไปแล้ว บังเอิญเป็นช่วงที่ผมร่วงน้อยก็บอกว่ายาใช้ได้ผล ทำให้เกิดความเข้าใจที่ผิดพลาดแก่ผู้ใช้ยา
    ตั้งแต่สมัยโบราณถึงปัจจุบัน ยังไม่มีสารเคมีใด ๆ ที่ได้รับการทดลอง และพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ส่าสามารถทำให้ผมขึ้นได้ เพราะฉะนั้นการที่จะบอกว่ายาตัวไหนมีสรรพคุณหรือมีประสิทธิภาพที่จะทำให้ผมขึ้น จะต้องมีการทดลองศึกษาวิจัยก่อน ไม่ใช่ทดลองกันในกลุ่มเล็ก ๆ ซึ่งอาจจะได้ผลแค่ 1 ใน 100 แล้วบอกว่าได้ผล

ศีรษะล้านกับยาลดความดันเลือดในสหรัฐอเมริกามีการค้นพบยาชนิดหนึ่งชื่อ มิน็อกซิดิล (MINOXI-DIL) เป็นยาลดความดันเลือด แต่มีผลข้างเคียงคือ คนไข้ที่กินยานี้เข้าไปแล้วจะมีขนขึ้นทั้งตัวทางองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาจึงได้ประกาศเตือนว่า ใครก็ตามที่กินยาลดความดันเลือดโดยหวังจะให้ผมขึ้นนั้น ไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะความปลอดภัยในการใช้ยานี้ (กิน) เพื่อการปลูกผมยังไม่เคยมีการศึกษาวิจัยมาก่อน อาจจะเป็นอันตรายในระยะยาวได้ เพราะเป็นยาที่มีผลต่อระบบความดันเลือด
แต่ได้มีการคิดกันว่าถ้านำยานี้มาทาเฉพาะที่ ในความเข้มข้นที่เหมาะสมอาจทำให้ผมขึ้นได้ ผลการทดลองปรากฏว่า ทำให้ผมขึ้นได้จริง ในคนไข้ประมาณ 1 ใน 3 หลังทายา นาน 6 เดือน
ปัจจุบันยามิน็อกซิดิลยังอยู่ระหว่างการจดทะเบียนกับกระทรวงสาธารณสุข ส่วนยารักษาศีรษะล้านชนิดอื่นที่มีจำหน่ายโดยทั่วไป ยังไม่สามารถพิสูจน์ว่ารักษาศีรษะล้านได้จริง

  • การผ่าตัดรักษาศีรษะล้าน
    ศีรษะล้านสามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด แต่วิธีการทำยุ่งยากมาก เป็นการย้ายผม เข้าทำนองการปลูกหญ้า และวิธีการทำยุ่งยาก ต้องทำหลายครั้ง ในประเทศไทยเป็นเมืองร้อนจึงไม่นิยมทำกัน

  • จะป้องกันศีรษะล้านได้อย่างไร
    ป้องกันไม่ได้ เพราะเป็นธรรมชาติของคน เช่น เกิดมามีผิวสีดำ ถ้าจะทำให้ผิวขาวคงจะยากเช่นเดียวกับคนศีรษะล้าน ถ้าพยายามไปเป่าผม ไม่ไปทำอะไรกับผมมากนัก ผมอาจจะมีความแข็งแรงขึ้น หักน้อยลง แต่ผมก็ยังร่วงเหมือนเดิมเพราะเป็นที่รูขุมขน พฤติกรรมของมนุษย์มีส่วนน้อยมาก
    ผลิตภัณฑ์ใดก็ตามที่อวดอ้างสรรพคุณ ไม่ว่าเป็นการป้องกัน หรือรักษา ผู้ผลิตมีหน้าที่ต้องพิสูจน์ว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีคุณภาพตามที่อวดอ้างหรือไม่ และผลการทดลองควรจะได้ผลเกินร้อยละ 50 ไม่ใช่ได้ผลแค่ร้อยละ 1-2 ก็บอกว่าใช้ได้แล้ว และจะต้องบอกย้ำด้วยว่าใช้แล้วไม่ใช่จะได้ผลทุกคนเสมอไป
ขอขอบพระคุณข้อมูลดีๆจาก
นิตยสารหมอชาวบ้าน 112
สิงหาคม 1988
เรื่องน่ารู้
นพ.อภิชาติ ศิวยาธร
ติดตามเรื่องราวน่ารู้เพิ่มเติมได้ที่ http://www.doctor.or.th
***********
สำหรับท่านที่มีปัญหาศีรษะล้านเนื่องจากกรรมพันธ์หรือแพ้สารเคมี มีปัญหาผมบาง ผมน้อย ผมร่วงมาก คันหนังศีรษะ มีรังแค ปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ ด้วยนวัตรกรรมใหม่พร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญที่สามารถให้คำแนะนำให้คำปรึกษา ดูแลแก้ไขเพื่อยุติปัญหาศีรษะล้าน ผมบาง ผมน้อย ผมร่วงเหล่านี้ได้ พร้อมด้วยผลิตภัณฑ์คุณภาพเพื่อการดูแลหนังศีรษะ เส้นผม ได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ ทำให้คุณดูเหมือนเป็นคนใหม่
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้วันนี้ที่ สเวนสันแฮร์เซ็นเตอร์ @ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล สาขาชลบุรี ถนนสุขุมวิท ตำบลห้วยกะปิ อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี โทร.038-322685-7  http://www.svensonhaircenter.com
ทราย สุขรดา
since sukradarat
Tuesday 22 january 2013 / 11.03 pm.
บ้านทรายสุขรดา กาแฟแห่งความรัก ชาชักแห่งความผูกพัน
หมายเหตุ:บทความนี้มิได้มีเจตนาทำเพื่อการค้าใดๆทั้งสิ้น ผู้จัดทำมีเจตจำนงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้เท่านั้น(kornsiam srirakij)