วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2556

อนุมูลอิสระ แซนโตน

อนุมูลอิสระ มัจจุราชแห่งกาลเวลา



อะไรคืออนุมูลอิสระ? และอนุมูลอิสระทำร้ายร่างกายได้อย่างไร?

เชื่อว่าเราทุกคนคงเคยได้ยินคำว่า “อนุมูลอิสระ” ผ่านหูกันวันละหลายหน แต่มีน้อยคนนักที่จะรู้จักและเข้าใจการทำงานของอนุมูลอิสระอย่างแท้จริง อนุมูลอิสระสามารถเปรียบเทียบได้กับระเบิดลูกปิงปองลูกเล็กๆ ที่เจือปนอยู่ในอาหารที่เรากิน อยู่ในน้ำที่เราดื่ม อยู่ในบุหรี่ที่เราสูบ และอยู่ในมลพิษทางอากาศและแสงรังสีที่เราสัมผัส หรืออาจจะเรียกได้ว่าอนุมูลอิสระเป็นระเบิดปิงปองลูกเล็ก (เล็กมากจนไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า) ที่มีอยู่รอบๆตัวเรา และเราสามารถรับเจ้าระเบิดลูกเล็กต่างๆเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายได้ง่ายมาก หลายครั้งเราเองเป็นผู้หยิบมันใส่ปากด้วยซ้ำไป
 

แม้ว่าเราจะเปรียบเทียบอนุมูลอิสระให้เป็นระเบิดปิงปองลูกเล็กๆ แต่อานุภาพในการทำลายของมันกลับไม่เล็กเหมือนขนาด โดยเมื่ออนุมูลอิสระสามารถเข้าสู่ร่างกายเราได้แล้ว เหล่าอนุภาคเล็กๆเหล่านี้จะก่อให้เกิดปฏิกิริยาเคมีที่สามารถเปรียบได้กับการระเบิดเล็กๆ  จำนวนมากมายกับเซลล์ทั่วร่างกาย แม้ว่าเราอาจจะไม่สามารถรู้สึกถึงแรงระเบิดที่เกิดขึ้น แต่ผลลัพท์จากการระเบิดนั้นอาจสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงให้กับเซลล์ต่างๆจนร่างกายไม่อาจฟื้นฟูให้กลับมามีสภาพดังเดิมได้ การระเบิดเล็กๆที่เกิดขึ้นในระดับเซลล์นี้ เราเรียกว่าปฏิกริยาอ๊อกซิเดชั่น (Oxidation Damages) หรือการเกิดอ๊อกซิเดทีฟ สเตรส (Oxidative Stress) ภายในร่างกาย

โดยที่เมื่ออนุมูลอิสระ หรือลูกระเบิดปิงปองเล็กๆเหล่านี้เข้าสู่ร่างกาย อาจจะมาจากควันของบุหรี่ (ซึ่งจะทำให้เกิดอ๊อกซิเดทีฟ สเตรส Oxidative Stress ขึ้นเป็นจำนวนมากที่เซลล์ของถุงลมเล็กๆภายในปอด) หรืออาจจะมาจากอาหาร (ซึ่งจะเกิดจากการย่อยอาหาร และนำพาอนุมูลอิสระเข้าสู่ร่างกายผ่านทางกระแสโลหิตอย่างรวดเร็ว) อนุมูลอิสระเล็กๆแต่มีจำนวนมหาศาลเหล่านี้ จะเข้าทำปฏิกิริยาเคมีกับเซลล์ของร่างกาย ซึ่งอาจจะเป็นอวัยวะใดอวัยวะหนึ่ง หรือหลายอวัยวะพร้อมๆกัน ผลจากการทำปฏิกิริยาเคมีนี้ จะทำให้เซลล์เกิดความเสียหายและเกิดอนุมูลอิสระตัวใหม่เกิดขึ้นได้ด้วย ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าอนุมูลอิสระที่ผ่านการทำปฏิกิริยาการระเบิดกับเซลล์แล้วก็ยังไม่สิ้นฤทธิ์ แต่ยังเป็นการก่อกำเนิดอนุมูลอิสระตัวใหม่ขึ้นมาทดแทนตัวเก่าได้อีกด้วย บางครั้งเราจึงเรียกปฏิกิริยาแบบนี้ว่าปฏิกิริยาแบบลูกโซ่

เมื่อเป็นเช่นนี้ ร่างกายเราจึงเป็นที่สะสมของอนุมูลอิสระทั้งใหม่ทั้งเก่าจำนวนมากมายมหาศาล และเกิดปฏิกิริยาอ๊อกซิเดทีฟ สเตรส (Oxidative Stress) ขึ้นภายในร่างกายตลอดเวลาเช่นเดียวกัน ซึ่งผลจากอ๊อกซิเดทีฟ สเตรส (Oxidative Stress) จำนวนนับครั้งไม่ถ้วนเหล่านี้ จะทำให้ร่างกายเกิดความเสื่อมถอยไปเรื่อยๆ เปรียบได้กับการปล่อยให้รถยนต์มีสนิมอยู่เป็นจำนวนมาก วันนึงรถยนต์คันนี้ก็จะแสดงอาการผิดปรกติอย่างหนึ่งอย่างใดออกมาให้เห็น ซึ่งนั่นก็แปลว่ามีอะไหล่บางชิ้นของรถคันนี้ถูกสนิมเล่นงานจนไม่อาจทำงานได้อย่างสมบูรณ์อีกต่อไป ซึ่งกลไกในการกำจัดสนิมออกจากรถยนต์ก็แตกต่างไปจากการกำจัดอนุมูลอิสระในร่างกาย
จากงานวิจัยทางการแพทย์ที่กระทำอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับผลของการเกิดปฏิกิริยาอ๊อกซเดชั่นในร่างกาย ทำให้เราได้รับทราบข้อมูลอันน่าตกใจว่า ปฏิกิริยาลูกโซ่เล็กๆภายในร่างกายนี้เอง ที่เป็นสาเหตุสำคัญของโรคร้ายแรงจำนวนมากในปัจจุบัน และเป็นที่มาของโรคที่เป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ในแทบทุกประเทศทั่วโลก นั่นคือ
  1. โรคมะเร็ง
  2. โรคหัวใจ
  3. โรคเบาหวาน
  4. ฯลฯ
สิ่งที่อนุมูลอิสระทำร้ายร่างกายอย่างเงียบๆและใช้เวลาอย่างยาวนานจึงปรากฏผลออกมาเป็นอาการของโรคที่หลายครั้งก็สายเกินไปที่เราจะหันกลับไปป้องกันร่างกายได้อย่างทันท่วงที ด้วยเหตุนี้จึงสามารถกล่าวได้ว่าอนุมูลอิสระคือเพชฌฆาตเงียบที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในปัจจุบัน และเราทุกคนต่างมีโอกาสเสี่ยงกับเพชฌฆาตตัวนี้อย่างเท่าเทียมกัน



การรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงดีอย่างไร?
สารต้านอนุมูลอิสระคือสารประกอบตามธรรมชาติที่มีความสามารถในการปลดชนวนความเป็นระเบิดของอนุมูลอิสระได้ โดยหากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพแล้ว เราก็สามารถสมมุติให้สารต้านอนุมูลอิสระเป็นเสมือนหน่วยทหารที่ถูกฝึกให้มีความสามารถในปฏิบัติการณ์เก็บกู้วัตถุระเบิดนั่นเอง เมื่อเราได้รับสารต้านอนุมูลอิสระเข้าสู่ร่างกาย สารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ก็จะล่องลอยไปตามร่างกายส่วนต่างๆ ทั้งส่วนที่เป็นเนื้อเยื่อ เป็นเซลล์ รวมทั้งในกระแสเลือด และเมื่อสารต้านอนุมูลอิสระเดินทางไปพบกับเป้าหมาย ซึ่งก็คืออนุภาคของอนุมูลอิสระ สารต้านอนุมูลอิสระก็จะตรงปรี่เข้าไปปลดชนวนระเบิดเพื่อให้ระเบิดลูกนี้ไม่สามารถระเบิดได้อีกต่อไป และสามารถอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ได้ว่าสารต้านอนุมูลอิสระจะแลกเปลี่ยนอิเลคตรอนอิออนกับอนุภาคของอนุมูลอิสระ และทำให้อนุมูลอิสระกลายสภาพเป็นอนุภาคที่มีความเสถียร และไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่นอีกต่อไป

ดังนั้นเราจะเห็นว่าสารต้านอนุมูลอิสระคือสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นเพื่อเป็นประโยชน์แก่พวกเราทุกคน โดยสารต้านอนุมูลอิสระสามารถลดจำนวนของอนุภาคอนุมูลอิสระในร่างกายของเราให้มีจำนวนน้อยลง และไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ จึงไม่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระลูกใหม่แต่อย่างใด และที่เหนือสิ่งอื่นใดคือเราสามารถพบสารต้านอนุมูลอิสระได้จากอาหารที่อยู่ใกล้ๆตัวเรา อาทิเช่น ผักสด ผลไม้สด

ถ้าจะบอกว่าสิ่งที่มีคุณสมบัติในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เราสามารถพบเจอในชีวิตประจำวัน ก็ได้แก่วิตตามินต่างๆ เช่นวิตตามิน อี, วิตตามิน ซี, หรือสารประกอบจำพวกเบต้าแคโรทีน ซึ่งพบมากในผักผลไม้ชนิดต่างๆที่เราสามารถหาซื้อได้ทั่วไปตามท้องตลาด จริงอยู่ที่ผักผลไม้ต่างๆหลากหลายชนิดล้วนแล้วแต่มีสารอาหารที่มีประโยชน์และสามารถต้านอนุมูลอิสระได้ แต่สิ่งสำคัญและเป็นสิ่งที่เราควรคำนึงถึงเมื่อต้องการเลือกซื้ออาหารต่างๆเหล่านี้คือ เราจะต้องรับประทานอาหารต่างๆเหล่านี้ในปริมาณเท่าไร? จึงจะได้ทหารที่ชื่อว่าสารต้านอนุมูลอิสระอย่างเพียงพอ ที่จะรับมือกับระเบิดปิงปองจำนวนมหาศาลในร่างกายเรา

อาหารที่เรารับประทานเป็นประจำมีสารต้านอนุมูลอิสระมากเพียงใด?

ในปัจจุบันเราวัดความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระของอาหารแต่ละชนิด ด้วยกรรมวิธีมาตรฐานที่เรียกว่า การวัดค่าคะแนนโอแรค (ORAC Score : Oxygen Radical Absorbance Capacity) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ ว่าสามารถให้ผลการวิเคราะห์ที่เชื่อถือได้ และจากการวิจัยพบว่า อาหารที่เรารับประทานเป็นประจำเช่น ข้าวสวย 1 จาน หรืออาหารตามสั่งมื้อง่ายๆที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราไปแล้ว  มีสารต้านอนุมูลอิสระในจำนวนไม่มากนัก และจากงานวิจัยหลายชิ้นที่ทำการศึกษาถึงปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระที่เราทุกคนควรได้รับจากการบริโภคอาหารในแต่ละวัน เพื่อให้เพียงพอต่อการรับมือจากการเข้าทำลายเซลล์ของอนุมูลอิสระ  ก็พบว่าอาหารที่เรารับประทานเป็นประจำมีแนวโน้มที่จะไม่สามารถให้สารต้านอนุมูลอิสระในประมาณที่เพียงพอได้

การรับประทานอาหารที่มีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระสูงเป็นประจำอย่างต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งที่เราควรกระทำไปตลอดทั้งชีวิต เนื่องจากในความเป็นจริงแล้ว เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องบริโภคอนุมูลอิสระหรือกองทัพระเบิดปิงปองเหล่านี้เข้าไปพร้อมกับอาหาร หรือจากอากาศที่เราสูดดม และในความเป็นจริงแล้วกลไกในการเผาผลาญสารอาหารเพื่อผลิตพลังงานให้กับเซลล์ต่างๆในร่างกาย ก็เป็นอีกกลไกหนึ่งที่จะทำให้เกิดอนุมูลอิสระขึ้นในร่างกาย จนสามารถกล่าวได้ว่าร่างกายเราไม่มีวันที่จะปลอดจากอนุมูลอิสระได้เลย สิ่งที่เราควรทำคือลดโอกาสในการเกิดปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่นจากอนุมูลอิสระต่างๆเหล่านี้ไปชั่วชีวิต ด้วยการเลือกบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพในการป้องกันร่างกายจากอนุมูลอิสระอย่างแท้จริง


อะไรคือแซนโทน?
แซนโทนเป็นชื่อของสารประกอบที่สามารถพบได้ในธรรมชาติ และมีลักษณะคล้ายวิตตามิน แท้ที่จริงแล้วแซนโทนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่อยู่ในกลุ่มฟลาโวนอยด์ มีส่วนช่วยในการปรับสมดุลการทำงานของเซลล์ในร่างกายมนุษย์ให้ทำงานปกติและเหมาะสม โครงสร้างทางเคมีของแซนโทนมีรูปร่างเหมือนแหวนเพชรสามวงเกี่ยวกันเป็นห่วงคล้ายรังผึ้ง สิ่งที่ทำให้แซนโทนมีความโดดเด่นหนือสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆที่พบในธรรมชาติ นั่นคือนอกจากแซนโทนจะสามารถทำหน้าที่ในการต้านอนุมูลอิสระได้อย่างยอดเยี่ยมแล้ว แซนโทนยังก่อให้เกิดคุณประโยชน์แก่ร่างกายในหลายประการ นั่นคือ
  • ฤทธิ์ในการลดอาการภูมิแพ้ที่เกิดขึ้นในระบบทางเดินหายใจ  ส่งผลให้ระบบทางเดินหายใจมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ฤทธิ์ในการต้านเชื้อแบคทีเรีย, เชื้อไวรัสที่อยู่นอกเซลล์ และเชื้อรา ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายสามารถจัดการกับสิ่งแปลกปลอมทางชีวภาพนี้ได้ดียิ่งขึ้น
  • ลดการเกิด Oxidized LDL Cholesterols ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือด และโรคหัวใจขาดเลือด
  • ลดอาการอักเสบช้ำบวม, ลดอาการปวดข้อและเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อต่อต่างๆทั่วร่างกาย
  • ปัจจุบันยังมีนักวิทยาศาสตร์และบุคคลากรทางการแพทย์ทำการวิจัยเพื่อไขความลับจากสารประกอบแซนโทนในธรรมชาติ อาทิเช่น  ฤทธิ์ในการยับยั้งเซลล์มะเร็งชนิดต่างๆ เช่นเซลล์มะเร็งตับ (Liver cancer), เซลล์มะเร็งต่อมลูกหมาก (Prostate cancer) ฯลฯ ในระดับห้องปฏิบัติการและสัตว์ทดลอง และยังมีความลับอีกมากมายของสารประกอบแซนโทนที่รอการค้นพบ
บทส่งท้าย
การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีสารอาหารครบถ้วนทั้ง 5 หมู่อาหาร สะอาดถูกสุขลักษณะ มีความเหมาะสมในช่วงเวลาที่ควรรับประทาน มีความพอดีไม่มากไม่น้อย และผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนประเภทของอาหารในแต่ละมื้อ จะช่วยทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ และไม่เกิดอาการเจ็บป่วยตามมาในภายหลัง การรับประทานอาหารเสริมใดๆก็ตาม ควรศึกษาอย่างถ้วนถี่ ใคร่ครวญ พินิจพิจารณาถึงความเป็นไปได้ หากไม่ทราบในรายละเอียดควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรผู้เชี่ยวชาญจะเป็นการดีที่สุดค่ะ

ยอดใบชาไทย ยอดใบชาขาว ยอดใบชาเขียว จากจังหวัดเชียงราย
และ ผงชาไทย ผงชาดำ ผงชาแดง ผงชาเขียวมะลิ ผงชาเขียวมัชฉะ
ผงชาซีลอน ผงชาอัสสัม ผงชาชักมาเลย์ ผงชาเหลือง
เมล็ดกาแฟคั่วจากดอยภูผาตั้งเชียงราย เมล็ดกาแฟคั่วจากปักษ์ใต้ ฯลฯ
"สัมผัสอรรถรสสดสะอาดจากธรรมชาติ หอมกลิ่นกรุ่นด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว"
สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่ คุณ พนารัตน์ 090-1211078

ด้วยรักและปรารถนาดี
ทราย สุขรดา
พุธ ๒๓ มกราคม ๒๕๕๖ เวลา ๒๒.๑๘ น.
บ้านทรายสุขรดา กาแฟแห่งความรัก ชาชักแห่งความผูกพัน

วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2556

ศีรษะล้าน ผมบาง ผมร่วง

ปัญหาน่าหนักใจ(ศีรษะล้าน)ใครช่วยบอกที
เส้นผมและทรงผมมีอิทธิพลต่อความสวยความงามของมนุษย์อย่างมากทีเดียว ใครที่ไม่มีปัญหาในเรื่องนี้ก็จะไม่ซาบซึ้งถึงความสำคัญนัก
ผมคนเราในแต่ละช่วงเวลาจะมีอยู่ประมาณหนึ่งแสนเส้น ผมจะงอกยาวออกมาเฉลี่ยวันละประมาณครึ่งมิลลิเมตร หรือประมาณ 1 เซนติเมตรต่อเดือน อัตราการงอกนี้จะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น
ปกติผมคนเราจะร่วงประมาณ วันละ 25-100 เส้น ถ้าวันไหนสระผมหรือดึงผมเล่นบ่อย ๆ โอกาสที่ผมจะร่วงมีมากขึ้นกว่าปกติ และถ้าผมร่วงอยู่ในเกณฑ์ปกติจะมีผมใหม่ขึ้นมาทดแทนเสมอ ทำให้จำนวนผมไม่ลดลงและศีรษะไม่ล้าน
หมายเหตุ:ภาพต่างๆเป็นเพียงภาพประกอบบทความ มิได้ความเกี่ยวข้องเพื่อการค้าใดๆทั้งสิ้น

  • ศีรษะล้านคืออะไร
    ศีรษะล้านเป็นอาการผมบาง หรือผมร่วง ซึ่งเกิดขึ้นช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไป ส่วนใหญ่มักเป็นในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ซึ่งเริ่มต้นเป็นจากชายผมก่อน พูดง่าย ๆ คือ เริ่มหัวเถิกก่อน และตรงกลางกระหม่อมจะเริ่มบางเป็นลักษณะเหมือนไข่ดาว สองส่วนนี้จะค่อย ๆ เลื่อนเข้ามาชนกัน พอชนกันปุ๊บศีรษะก็จะเหน่ง
    สิ่งที่แปลกคือ เป็นเฉพาะด้านหน้ากับด้านบนเท่านั้น ส่วนผมที่อยู่ด้านข้างและท้ายทอยค่อนข้างจะทน และศีรษะล้านเป็นลักษณะค่อนข้างเฉพาะตัว และใช้เวลาเป็นปี ๆ หลาย ๆ ปี ส่วนการจะเกิดเร็ว เกิดช้าขึ้นกับแต่ละบุคคล

  • ศีรษะล้านเป็นกรรมพันธุ์หรือไม่
    ภาวะศีรษะล้านเป็นกรรมพันธุ์ ถ้านครอบครัวมีประวัติปู่ ตา ลุง พ่อ ศีรษะล้านหรือผมบาง ตัวเองก็มีโอกาสที่จะศีรษะล้าน ส่วนว่าจะล้านเมื่อไหร่นั้น ต้องแล้วแต่กรรมพันธุ์ของแต่ละคน บางคนอายุ 20 กระบวนการนี้เริ่มแล้ว บางคนอายุเลย 40 ยังไม่เกิดเลย เป็นความแตกต่าง และเป็นธรรมชาติของแต่ละบุคคล บางคนอายุ 30 เศษ ๆ เหน่งแล้ว เหมือนกับคนผมหงอก บางคนอายุยังไม่ถึง 30 หงอกแล้ว หรือบางคนอายุ 60-70 เพิ่งจะมีผมขาวประปราย ซึ่งขึ้นกับพื้นเพของแต่ละคน คนที่ไม่มีประวัติศีรษะล้านในครอบครัว ก็มีโอกาสศีรษะล้านได้(แต่น้อย) เพราะว่าทางพันธุกรรมมีลักษณะอย่างหนึ่ง เรียกว่า ผ่าเหล่า คือเกิดเฉพาะในคนบางคนเท่านั้น

    คนไข้บางรายบอกว่าในครอบครัวไม่มีใครเป็นแบบนี้เลย ทำไมอยู่ดี ๆ อายุยังไม่ถึง 40 เหน่งแล้ว กรณีอย่างนี้ทำให้คนไข้เดือดร้อนมาก ถ้าเป็นคนที่มีประวัติของญาติพี่น้องศีรษะล้านจะทำให้ยอมรับง่ายกว่าเพราะเห็นมาแล้ว แต่ถ้าคนที่ไม่เคยมีประวัติ จะยอมรับยาก มีหลายคนวิตกกังวลว่า ผมร่วงมากกลัวจะล้านเร็วขึ้น อันนี้จะต้องทำความเข้าใจว่าศีรษะล้านเป็นไปโดยธรรมชาติ ค่อยเป็นค่อยไป เป็นตัวของตัวเอง ไม่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของเรา เช่น ไม่ว่าจะกินอาหารน้อยไป มากไป หรือจะออกกำลังกายหรือไม่ออกกำลังกายก็ตามที จะไม่มีผล เพราะว่าผมร่วงเป็นลักษณะธรรมชาติ
ศีรษะล้านเป็นเรื่องของกรรมพันธุ์ที่ได้มาตั้งแต่เกิดแล้ว แต่ลักษณะนี้จะแสดงออกได้ง่ายหรือยากขึ้นกับฮอร์โมน เช่น พี่น้อง 2 คน คนโตเป็นชาย น้องเป็นหญิง เกิดจากพ่อแม่เดียวกัน ทั้ง 2 คนได้รับยีน(พันธุกรรม)ศีรษะล้านมาทั้งคู่ พี่ชายจะแสดงอาการได้เด่นชัด เพราะว่าฮอร์โมนเพศชายจะช่วยทำให้ลักษณะอันนี้แสดงออกได้ง่าย ตรงกันข้าม ถ้าดูน้องสาว แม้จะมีลักษณะนี้อยู่ แต่ฮอร์โมนเพศหญิงจะปิดบังไม่ให้ยีนตัวนี้แสดงออก เพราะถ้าดูดี ๆ ก็อาจจะมีผมบาง แต่จะไม่ล้านเหมือนพี่ชาย ถ้าไปเทียบกับหญิงอื่นทั่ว ๆ ไป อาจจะมีผมบางกว่าคนอื่น
จริง ๆ แล้วศีรษะล้านในผู้หญิงก็เป็นไปได้ แต่มีลักษณะน้อยกว่า จึงไม่เรียกว่าศีรษะล้าน ซึ่งลักษณะนี้เป็นลักษณะเด่น และการที่ในร่างกายมีพันธุกรรมอะไรบางอย่างอยู่ในร่างกาย ไม่จำเป็นจะต้องแสดงออกมาทุกครั้งเสมอไป

  • ความรุนแรงของศีรษะล้าน
    ศีรษะล้านที่พบบ่อย เห็นกันอยู่ทั่ว ๆ ไปคือ โรคผมบางในวัยกลางคน มีชื่อเรียกไว้หลายอย่างด้วยกัน ตามแต่ลักษณะและระดับของความล้าน เช่น ทุ่งหมาหลง ดงช้างข้ามง่ามเทโพ ชะโดตีแปลง แร้งกระพือปีก ฉีกขวานกว้าง ราชคลึงเครา
















 มีผู้จำแนกความรุนแรงของศีรษะล้านออกเป็น 7 ระยะด้วยกัน
1. ผมดกตามปกติ
2. เริ่มมีการถอยร่นของแนวผมเข้าไปตามขมับทั้ง 2 ข้าง
3. การถอยร่นมีมากจนเกือบศีรษะเถิก หรืออาจมีผมร่วงกลางกระหม่อมร่วมด้วย
4. ศีรษะเถิกมากขึ้นทั้งตามแถวขมับและแนวหน้าผาก
5. ศีรษะเถิกมากขึ้นอีก และกระหม่อมเริ่มมีผมบางลงชัดเจน
6. บริเวณศีรษะเถิก และบริเวณล้านกลางกระหม่อมขยายมาชนกัน
7. ศีรษะล้านทั้งศีรษะ มีไรผมบาง ๆ อยู่บ้าง มีผมเหลืออยู่แนวเหนือหูทั้ง 2 ข้างและด้านหลัง

  • ศีรษะล้านรักษาให้หายขาดได้หรือไม่
    การรักษานั้นมีความพยายามกันมานานแล้ว และต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า ศีรษะล้านถือเป็นปมด้อย ตั้งแต่โบราณแล้ว (ตัวอย่างที่เห็นชัดในวรรณคดี คือ ขุนช้าง) และมีความพยายามที่จะรักษากันมาตลอดแต่ไม่เคยประสบความสำเร็จจริงจัง เพราะถ้าประสบความสำเร็จ คงไม่มีคนศีรษะล้านให้เห็นกันแล้ว

    ปัจจุบันยาที่ใช้มีหลายชนิด แต่สรรพคุณเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ยาก เพราะอาการศีรษะล้านเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่จำเป็นต้องเถิกไปเรื่อย ๆ ในอัตราเท่าเดิม สมมติว่าคน ๆ หนึ่งศีรษะเถิกวันนี้ กว่าจะล้านอาจใช้เวลาถึง 15 ปี แต่ในช่วง 15 ปีนี้ผมจะค่อย ๆ บางลงช้า ๆ ไม่จำเป็นจะต้องบางลงในอัตราที่เท่าเดิม บางครั้งเร็ว บางครั้งช้า และบางครั้งหยุดซึ่งต้องใช้เวลานานมาก สมมติว่าเอายายี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่งมาทา ทาไปแล้วบังเอิญเป็นช่วงที่ผมร่วงมาก ก็บอกว่ายานี้ใช้ไม่ได้ผล ถ้าช่วงไหนทาไปแล้ว บังเอิญเป็นช่วงที่ผมร่วงน้อยก็บอกว่ายาใช้ได้ผล ทำให้เกิดความเข้าใจที่ผิดพลาดแก่ผู้ใช้ยา
    ตั้งแต่สมัยโบราณถึงปัจจุบัน ยังไม่มีสารเคมีใด ๆ ที่ได้รับการทดลอง และพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ส่าสามารถทำให้ผมขึ้นได้ เพราะฉะนั้นการที่จะบอกว่ายาตัวไหนมีสรรพคุณหรือมีประสิทธิภาพที่จะทำให้ผมขึ้น จะต้องมีการทดลองศึกษาวิจัยก่อน ไม่ใช่ทดลองกันในกลุ่มเล็ก ๆ ซึ่งอาจจะได้ผลแค่ 1 ใน 100 แล้วบอกว่าได้ผล

ศีรษะล้านกับยาลดความดันเลือดในสหรัฐอเมริกามีการค้นพบยาชนิดหนึ่งชื่อ มิน็อกซิดิล (MINOXI-DIL) เป็นยาลดความดันเลือด แต่มีผลข้างเคียงคือ คนไข้ที่กินยานี้เข้าไปแล้วจะมีขนขึ้นทั้งตัวทางองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาจึงได้ประกาศเตือนว่า ใครก็ตามที่กินยาลดความดันเลือดโดยหวังจะให้ผมขึ้นนั้น ไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะความปลอดภัยในการใช้ยานี้ (กิน) เพื่อการปลูกผมยังไม่เคยมีการศึกษาวิจัยมาก่อน อาจจะเป็นอันตรายในระยะยาวได้ เพราะเป็นยาที่มีผลต่อระบบความดันเลือด
แต่ได้มีการคิดกันว่าถ้านำยานี้มาทาเฉพาะที่ ในความเข้มข้นที่เหมาะสมอาจทำให้ผมขึ้นได้ ผลการทดลองปรากฏว่า ทำให้ผมขึ้นได้จริง ในคนไข้ประมาณ 1 ใน 3 หลังทายา นาน 6 เดือน
ปัจจุบันยามิน็อกซิดิลยังอยู่ระหว่างการจดทะเบียนกับกระทรวงสาธารณสุข ส่วนยารักษาศีรษะล้านชนิดอื่นที่มีจำหน่ายโดยทั่วไป ยังไม่สามารถพิสูจน์ว่ารักษาศีรษะล้านได้จริง

  • การผ่าตัดรักษาศีรษะล้าน
    ศีรษะล้านสามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด แต่วิธีการทำยุ่งยากมาก เป็นการย้ายผม เข้าทำนองการปลูกหญ้า และวิธีการทำยุ่งยาก ต้องทำหลายครั้ง ในประเทศไทยเป็นเมืองร้อนจึงไม่นิยมทำกัน

  • จะป้องกันศีรษะล้านได้อย่างไร
    ป้องกันไม่ได้ เพราะเป็นธรรมชาติของคน เช่น เกิดมามีผิวสีดำ ถ้าจะทำให้ผิวขาวคงจะยากเช่นเดียวกับคนศีรษะล้าน ถ้าพยายามไปเป่าผม ไม่ไปทำอะไรกับผมมากนัก ผมอาจจะมีความแข็งแรงขึ้น หักน้อยลง แต่ผมก็ยังร่วงเหมือนเดิมเพราะเป็นที่รูขุมขน พฤติกรรมของมนุษย์มีส่วนน้อยมาก
    ผลิตภัณฑ์ใดก็ตามที่อวดอ้างสรรพคุณ ไม่ว่าเป็นการป้องกัน หรือรักษา ผู้ผลิตมีหน้าที่ต้องพิสูจน์ว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีคุณภาพตามที่อวดอ้างหรือไม่ และผลการทดลองควรจะได้ผลเกินร้อยละ 50 ไม่ใช่ได้ผลแค่ร้อยละ 1-2 ก็บอกว่าใช้ได้แล้ว และจะต้องบอกย้ำด้วยว่าใช้แล้วไม่ใช่จะได้ผลทุกคนเสมอไป
ขอขอบพระคุณข้อมูลดีๆจาก
นิตยสารหมอชาวบ้าน 112
สิงหาคม 1988
เรื่องน่ารู้
นพ.อภิชาติ ศิวยาธร
ติดตามเรื่องราวน่ารู้เพิ่มเติมได้ที่ http://www.doctor.or.th
***********
สำหรับท่านที่มีปัญหาศีรษะล้านเนื่องจากกรรมพันธ์หรือแพ้สารเคมี มีปัญหาผมบาง ผมน้อย ผมร่วงมาก คันหนังศีรษะ มีรังแค ปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ ด้วยนวัตรกรรมใหม่พร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญที่สามารถให้คำแนะนำให้คำปรึกษา ดูแลแก้ไขเพื่อยุติปัญหาศีรษะล้าน ผมบาง ผมน้อย ผมร่วงเหล่านี้ได้ พร้อมด้วยผลิตภัณฑ์คุณภาพเพื่อการดูแลหนังศีรษะ เส้นผม ได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ ทำให้คุณดูเหมือนเป็นคนใหม่
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้วันนี้ที่ สเวนสันแฮร์เซ็นเตอร์ @ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล สาขาชลบุรี ถนนสุขุมวิท ตำบลห้วยกะปิ อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี โทร.038-322685-7  http://www.svensonhaircenter.com
ทราย สุขรดา
since sukradarat
Tuesday 22 january 2013 / 11.03 pm.
บ้านทรายสุขรดา กาแฟแห่งความรัก ชาชักแห่งความผูกพัน
หมายเหตุ:บทความนี้มิได้มีเจตนาทำเพื่อการค้าใดๆทั้งสิ้น ผู้จัดทำมีเจตจำนงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้เท่านั้น(kornsiam srirakij)