วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2556

อนุมูลอิสระ แซนโตน

อนุมูลอิสระ มัจจุราชแห่งกาลเวลา



อะไรคืออนุมูลอิสระ? และอนุมูลอิสระทำร้ายร่างกายได้อย่างไร?

เชื่อว่าเราทุกคนคงเคยได้ยินคำว่า “อนุมูลอิสระ” ผ่านหูกันวันละหลายหน แต่มีน้อยคนนักที่จะรู้จักและเข้าใจการทำงานของอนุมูลอิสระอย่างแท้จริง อนุมูลอิสระสามารถเปรียบเทียบได้กับระเบิดลูกปิงปองลูกเล็กๆ ที่เจือปนอยู่ในอาหารที่เรากิน อยู่ในน้ำที่เราดื่ม อยู่ในบุหรี่ที่เราสูบ และอยู่ในมลพิษทางอากาศและแสงรังสีที่เราสัมผัส หรืออาจจะเรียกได้ว่าอนุมูลอิสระเป็นระเบิดปิงปองลูกเล็ก (เล็กมากจนไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า) ที่มีอยู่รอบๆตัวเรา และเราสามารถรับเจ้าระเบิดลูกเล็กต่างๆเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายได้ง่ายมาก หลายครั้งเราเองเป็นผู้หยิบมันใส่ปากด้วยซ้ำไป
 

แม้ว่าเราจะเปรียบเทียบอนุมูลอิสระให้เป็นระเบิดปิงปองลูกเล็กๆ แต่อานุภาพในการทำลายของมันกลับไม่เล็กเหมือนขนาด โดยเมื่ออนุมูลอิสระสามารถเข้าสู่ร่างกายเราได้แล้ว เหล่าอนุภาคเล็กๆเหล่านี้จะก่อให้เกิดปฏิกิริยาเคมีที่สามารถเปรียบได้กับการระเบิดเล็กๆ  จำนวนมากมายกับเซลล์ทั่วร่างกาย แม้ว่าเราอาจจะไม่สามารถรู้สึกถึงแรงระเบิดที่เกิดขึ้น แต่ผลลัพท์จากการระเบิดนั้นอาจสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงให้กับเซลล์ต่างๆจนร่างกายไม่อาจฟื้นฟูให้กลับมามีสภาพดังเดิมได้ การระเบิดเล็กๆที่เกิดขึ้นในระดับเซลล์นี้ เราเรียกว่าปฏิกริยาอ๊อกซิเดชั่น (Oxidation Damages) หรือการเกิดอ๊อกซิเดทีฟ สเตรส (Oxidative Stress) ภายในร่างกาย

โดยที่เมื่ออนุมูลอิสระ หรือลูกระเบิดปิงปองเล็กๆเหล่านี้เข้าสู่ร่างกาย อาจจะมาจากควันของบุหรี่ (ซึ่งจะทำให้เกิดอ๊อกซิเดทีฟ สเตรส Oxidative Stress ขึ้นเป็นจำนวนมากที่เซลล์ของถุงลมเล็กๆภายในปอด) หรืออาจจะมาจากอาหาร (ซึ่งจะเกิดจากการย่อยอาหาร และนำพาอนุมูลอิสระเข้าสู่ร่างกายผ่านทางกระแสโลหิตอย่างรวดเร็ว) อนุมูลอิสระเล็กๆแต่มีจำนวนมหาศาลเหล่านี้ จะเข้าทำปฏิกิริยาเคมีกับเซลล์ของร่างกาย ซึ่งอาจจะเป็นอวัยวะใดอวัยวะหนึ่ง หรือหลายอวัยวะพร้อมๆกัน ผลจากการทำปฏิกิริยาเคมีนี้ จะทำให้เซลล์เกิดความเสียหายและเกิดอนุมูลอิสระตัวใหม่เกิดขึ้นได้ด้วย ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าอนุมูลอิสระที่ผ่านการทำปฏิกิริยาการระเบิดกับเซลล์แล้วก็ยังไม่สิ้นฤทธิ์ แต่ยังเป็นการก่อกำเนิดอนุมูลอิสระตัวใหม่ขึ้นมาทดแทนตัวเก่าได้อีกด้วย บางครั้งเราจึงเรียกปฏิกิริยาแบบนี้ว่าปฏิกิริยาแบบลูกโซ่

เมื่อเป็นเช่นนี้ ร่างกายเราจึงเป็นที่สะสมของอนุมูลอิสระทั้งใหม่ทั้งเก่าจำนวนมากมายมหาศาล และเกิดปฏิกิริยาอ๊อกซิเดทีฟ สเตรส (Oxidative Stress) ขึ้นภายในร่างกายตลอดเวลาเช่นเดียวกัน ซึ่งผลจากอ๊อกซิเดทีฟ สเตรส (Oxidative Stress) จำนวนนับครั้งไม่ถ้วนเหล่านี้ จะทำให้ร่างกายเกิดความเสื่อมถอยไปเรื่อยๆ เปรียบได้กับการปล่อยให้รถยนต์มีสนิมอยู่เป็นจำนวนมาก วันนึงรถยนต์คันนี้ก็จะแสดงอาการผิดปรกติอย่างหนึ่งอย่างใดออกมาให้เห็น ซึ่งนั่นก็แปลว่ามีอะไหล่บางชิ้นของรถคันนี้ถูกสนิมเล่นงานจนไม่อาจทำงานได้อย่างสมบูรณ์อีกต่อไป ซึ่งกลไกในการกำจัดสนิมออกจากรถยนต์ก็แตกต่างไปจากการกำจัดอนุมูลอิสระในร่างกาย
จากงานวิจัยทางการแพทย์ที่กระทำอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับผลของการเกิดปฏิกิริยาอ๊อกซเดชั่นในร่างกาย ทำให้เราได้รับทราบข้อมูลอันน่าตกใจว่า ปฏิกิริยาลูกโซ่เล็กๆภายในร่างกายนี้เอง ที่เป็นสาเหตุสำคัญของโรคร้ายแรงจำนวนมากในปัจจุบัน และเป็นที่มาของโรคที่เป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ในแทบทุกประเทศทั่วโลก นั่นคือ
  1. โรคมะเร็ง
  2. โรคหัวใจ
  3. โรคเบาหวาน
  4. ฯลฯ
สิ่งที่อนุมูลอิสระทำร้ายร่างกายอย่างเงียบๆและใช้เวลาอย่างยาวนานจึงปรากฏผลออกมาเป็นอาการของโรคที่หลายครั้งก็สายเกินไปที่เราจะหันกลับไปป้องกันร่างกายได้อย่างทันท่วงที ด้วยเหตุนี้จึงสามารถกล่าวได้ว่าอนุมูลอิสระคือเพชฌฆาตเงียบที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในปัจจุบัน และเราทุกคนต่างมีโอกาสเสี่ยงกับเพชฌฆาตตัวนี้อย่างเท่าเทียมกัน



การรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงดีอย่างไร?
สารต้านอนุมูลอิสระคือสารประกอบตามธรรมชาติที่มีความสามารถในการปลดชนวนความเป็นระเบิดของอนุมูลอิสระได้ โดยหากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพแล้ว เราก็สามารถสมมุติให้สารต้านอนุมูลอิสระเป็นเสมือนหน่วยทหารที่ถูกฝึกให้มีความสามารถในปฏิบัติการณ์เก็บกู้วัตถุระเบิดนั่นเอง เมื่อเราได้รับสารต้านอนุมูลอิสระเข้าสู่ร่างกาย สารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ก็จะล่องลอยไปตามร่างกายส่วนต่างๆ ทั้งส่วนที่เป็นเนื้อเยื่อ เป็นเซลล์ รวมทั้งในกระแสเลือด และเมื่อสารต้านอนุมูลอิสระเดินทางไปพบกับเป้าหมาย ซึ่งก็คืออนุภาคของอนุมูลอิสระ สารต้านอนุมูลอิสระก็จะตรงปรี่เข้าไปปลดชนวนระเบิดเพื่อให้ระเบิดลูกนี้ไม่สามารถระเบิดได้อีกต่อไป และสามารถอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ได้ว่าสารต้านอนุมูลอิสระจะแลกเปลี่ยนอิเลคตรอนอิออนกับอนุภาคของอนุมูลอิสระ และทำให้อนุมูลอิสระกลายสภาพเป็นอนุภาคที่มีความเสถียร และไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่นอีกต่อไป

ดังนั้นเราจะเห็นว่าสารต้านอนุมูลอิสระคือสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นเพื่อเป็นประโยชน์แก่พวกเราทุกคน โดยสารต้านอนุมูลอิสระสามารถลดจำนวนของอนุภาคอนุมูลอิสระในร่างกายของเราให้มีจำนวนน้อยลง และไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ จึงไม่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระลูกใหม่แต่อย่างใด และที่เหนือสิ่งอื่นใดคือเราสามารถพบสารต้านอนุมูลอิสระได้จากอาหารที่อยู่ใกล้ๆตัวเรา อาทิเช่น ผักสด ผลไม้สด

ถ้าจะบอกว่าสิ่งที่มีคุณสมบัติในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เราสามารถพบเจอในชีวิตประจำวัน ก็ได้แก่วิตตามินต่างๆ เช่นวิตตามิน อี, วิตตามิน ซี, หรือสารประกอบจำพวกเบต้าแคโรทีน ซึ่งพบมากในผักผลไม้ชนิดต่างๆที่เราสามารถหาซื้อได้ทั่วไปตามท้องตลาด จริงอยู่ที่ผักผลไม้ต่างๆหลากหลายชนิดล้วนแล้วแต่มีสารอาหารที่มีประโยชน์และสามารถต้านอนุมูลอิสระได้ แต่สิ่งสำคัญและเป็นสิ่งที่เราควรคำนึงถึงเมื่อต้องการเลือกซื้ออาหารต่างๆเหล่านี้คือ เราจะต้องรับประทานอาหารต่างๆเหล่านี้ในปริมาณเท่าไร? จึงจะได้ทหารที่ชื่อว่าสารต้านอนุมูลอิสระอย่างเพียงพอ ที่จะรับมือกับระเบิดปิงปองจำนวนมหาศาลในร่างกายเรา

อาหารที่เรารับประทานเป็นประจำมีสารต้านอนุมูลอิสระมากเพียงใด?

ในปัจจุบันเราวัดความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระของอาหารแต่ละชนิด ด้วยกรรมวิธีมาตรฐานที่เรียกว่า การวัดค่าคะแนนโอแรค (ORAC Score : Oxygen Radical Absorbance Capacity) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ ว่าสามารถให้ผลการวิเคราะห์ที่เชื่อถือได้ และจากการวิจัยพบว่า อาหารที่เรารับประทานเป็นประจำเช่น ข้าวสวย 1 จาน หรืออาหารตามสั่งมื้อง่ายๆที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราไปแล้ว  มีสารต้านอนุมูลอิสระในจำนวนไม่มากนัก และจากงานวิจัยหลายชิ้นที่ทำการศึกษาถึงปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระที่เราทุกคนควรได้รับจากการบริโภคอาหารในแต่ละวัน เพื่อให้เพียงพอต่อการรับมือจากการเข้าทำลายเซลล์ของอนุมูลอิสระ  ก็พบว่าอาหารที่เรารับประทานเป็นประจำมีแนวโน้มที่จะไม่สามารถให้สารต้านอนุมูลอิสระในประมาณที่เพียงพอได้

การรับประทานอาหารที่มีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระสูงเป็นประจำอย่างต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งที่เราควรกระทำไปตลอดทั้งชีวิต เนื่องจากในความเป็นจริงแล้ว เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องบริโภคอนุมูลอิสระหรือกองทัพระเบิดปิงปองเหล่านี้เข้าไปพร้อมกับอาหาร หรือจากอากาศที่เราสูดดม และในความเป็นจริงแล้วกลไกในการเผาผลาญสารอาหารเพื่อผลิตพลังงานให้กับเซลล์ต่างๆในร่างกาย ก็เป็นอีกกลไกหนึ่งที่จะทำให้เกิดอนุมูลอิสระขึ้นในร่างกาย จนสามารถกล่าวได้ว่าร่างกายเราไม่มีวันที่จะปลอดจากอนุมูลอิสระได้เลย สิ่งที่เราควรทำคือลดโอกาสในการเกิดปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่นจากอนุมูลอิสระต่างๆเหล่านี้ไปชั่วชีวิต ด้วยการเลือกบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพในการป้องกันร่างกายจากอนุมูลอิสระอย่างแท้จริง


อะไรคือแซนโทน?
แซนโทนเป็นชื่อของสารประกอบที่สามารถพบได้ในธรรมชาติ และมีลักษณะคล้ายวิตตามิน แท้ที่จริงแล้วแซนโทนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่อยู่ในกลุ่มฟลาโวนอยด์ มีส่วนช่วยในการปรับสมดุลการทำงานของเซลล์ในร่างกายมนุษย์ให้ทำงานปกติและเหมาะสม โครงสร้างทางเคมีของแซนโทนมีรูปร่างเหมือนแหวนเพชรสามวงเกี่ยวกันเป็นห่วงคล้ายรังผึ้ง สิ่งที่ทำให้แซนโทนมีความโดดเด่นหนือสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆที่พบในธรรมชาติ นั่นคือนอกจากแซนโทนจะสามารถทำหน้าที่ในการต้านอนุมูลอิสระได้อย่างยอดเยี่ยมแล้ว แซนโทนยังก่อให้เกิดคุณประโยชน์แก่ร่างกายในหลายประการ นั่นคือ
  • ฤทธิ์ในการลดอาการภูมิแพ้ที่เกิดขึ้นในระบบทางเดินหายใจ  ส่งผลให้ระบบทางเดินหายใจมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ฤทธิ์ในการต้านเชื้อแบคทีเรีย, เชื้อไวรัสที่อยู่นอกเซลล์ และเชื้อรา ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายสามารถจัดการกับสิ่งแปลกปลอมทางชีวภาพนี้ได้ดียิ่งขึ้น
  • ลดการเกิด Oxidized LDL Cholesterols ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือด และโรคหัวใจขาดเลือด
  • ลดอาการอักเสบช้ำบวม, ลดอาการปวดข้อและเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อต่อต่างๆทั่วร่างกาย
  • ปัจจุบันยังมีนักวิทยาศาสตร์และบุคคลากรทางการแพทย์ทำการวิจัยเพื่อไขความลับจากสารประกอบแซนโทนในธรรมชาติ อาทิเช่น  ฤทธิ์ในการยับยั้งเซลล์มะเร็งชนิดต่างๆ เช่นเซลล์มะเร็งตับ (Liver cancer), เซลล์มะเร็งต่อมลูกหมาก (Prostate cancer) ฯลฯ ในระดับห้องปฏิบัติการและสัตว์ทดลอง และยังมีความลับอีกมากมายของสารประกอบแซนโทนที่รอการค้นพบ
บทส่งท้าย
การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีสารอาหารครบถ้วนทั้ง 5 หมู่อาหาร สะอาดถูกสุขลักษณะ มีความเหมาะสมในช่วงเวลาที่ควรรับประทาน มีความพอดีไม่มากไม่น้อย และผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนประเภทของอาหารในแต่ละมื้อ จะช่วยทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ และไม่เกิดอาการเจ็บป่วยตามมาในภายหลัง การรับประทานอาหารเสริมใดๆก็ตาม ควรศึกษาอย่างถ้วนถี่ ใคร่ครวญ พินิจพิจารณาถึงความเป็นไปได้ หากไม่ทราบในรายละเอียดควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรผู้เชี่ยวชาญจะเป็นการดีที่สุดค่ะ

ยอดใบชาไทย ยอดใบชาขาว ยอดใบชาเขียว จากจังหวัดเชียงราย
และ ผงชาไทย ผงชาดำ ผงชาแดง ผงชาเขียวมะลิ ผงชาเขียวมัชฉะ
ผงชาซีลอน ผงชาอัสสัม ผงชาชักมาเลย์ ผงชาเหลือง
เมล็ดกาแฟคั่วจากดอยภูผาตั้งเชียงราย เมล็ดกาแฟคั่วจากปักษ์ใต้ ฯลฯ
"สัมผัสอรรถรสสดสะอาดจากธรรมชาติ หอมกลิ่นกรุ่นด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว"
สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่ คุณ พนารัตน์ 090-1211078

ด้วยรักและปรารถนาดี
ทราย สุขรดา
พุธ ๒๓ มกราคม ๒๕๕๖ เวลา ๒๒.๑๘ น.
บ้านทรายสุขรดา กาแฟแห่งความรัก ชาชักแห่งความผูกพัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น