การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ คือการป้อนนมให้กับทารกหรือเด็กด้วยน้ำนมจากหน้าอกของผู้หญิง ทารกจะมีกลไกอัตโนมัติในการดูดที่จะทำให้เขาสามารถดูดและกลืนน้ำนมได้
มีหลักฐานจากการทดลองชี้ให้เห็นว่า น้ำนมคนเป็นแหล่งสารอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารก แต่ผู้เชี่ยวชาญยังมีความเห็นไม่ตรงกันว่าควรให้ทารกกินนมแม่นานเท่าไรจึงจะได้ประโยชน์สูงสุด และจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเท่าไรจากการให้สารทดแทนน้ำนมคนแก่ทารก
ทารกอาจจะกินน้ำนมจากอกของแม่ของตัวเองหรือผู้หญิงอื่นที่ร่างกายสามารถผลิตน้ำนมได้ (ซึ่งอาจจะเรียกว่า แม่นม) น้ำนมอาจจะถูกบีบออกมา (เช่น ใช้เครื่องปั๊มนม) และป้อนให้ทารกโดยใช้ขวด และอาจเป็นน้ำนมที่รับบริจาคมาก็ได้ สำหรับแม่หรือครอบครัวที่ไม่สามารถหรือไม่ต้องการให้ลูกกินนมแม่ก็อาจให้สารทดแทนนมแม่แทน การศึกษาวิจัยยังมีความขัดแย้งกันเกี่ยวกับคุณค่าสารอาหารในสารทดแทนนมแม่ เป็นที่รับรู้กันทั่วไปว่าการให้ทารกกินนมผสมที่มีขายในท้องตลาดจะไปรบกวนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ทั้งในทารกที่คลอดตามกำหนดและคลอดก่อนกำหนด ในหลายๆ ประเทศการให้ลูกกินสารทดแทนนมแม่ส่งผลให้อัตราการเสียชีวิตจากโรคท้องร่วงในทารกเพิ่มขึ้น แต่ในพื้นที่ที่มีน้ำสะอาดมีเพียงพอ การให้ลูกกินสารทดแทนนมแม่ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ยอมรับได้
มีนโยบายของรัฐบาลและความพยายามจากหน่วยงานนานาชาติในการส่งเสริมและสนับสนุนให้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเลี้ยงทารกในช่วงปีแรกและนานกว่านั้น องค์การอนามัยโลกและสถาบันกุมารแพทย์ของอเมริกา (American Academy of Pediatrics) ก็มีนโยบายสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
การหลั่งน้ำนม (Lactation) คือ กระบวนการในการสร้าง การหลั่ง และการไหลออกมาของน้ำนม การหลั่งน้ำนม เป็นหนึ่งในคุณลักษณะที่ใช้นิยาม สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
คุณสมบัติของนมแม่ยังไม่เป็นที่รู้แน่ชัด แต่คุณค่าสารอาหารของน้ำนมที่สมบูรณ์แล้วจะค่อนข้างคงที่ องค์ประกอบของน้ำนมจะมาจากอาหารที่แม่รับประทานเข้าไป, สารอาหารต่างๆ ในกระแสเลือดของแม่ในระหว่างที่ให้น้ำนม และสารอาหารที่ร่างกายเก็บสะสมไว้ ในการศึกพบว่าผู้หญิงที่ให้ลูกกินนมแม่ล้วนๆ จะใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอีกวันละ 500-600 แคลอรีในการผลิตน้ำนมให้ลูก ส่วนประกอบของน้ำนมจะแตกต่างกันไปในแต่ละวัน และแต่ละชั่วโมง ขึ้นอยู่กับลักษณะการให้ทารกกินนม, อาหารที่แม่รับประทาน, และสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ดังนั้นอัตราส่วนของน้ำต่อไขมันในน้ำนมแม่จึงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
น้ำนมส่วนหน้า (Foremilk) ซึ่งเป็นน้ำนมที่ไหลออกมาในช่วงแรกของการให้นม จะค่อนข้างใส ไขมันต่ำ คาร์โบไฮเดรตสูง น้ำนมส่วนหลัง (Hindmilk) ซึ่งเป็นน้ำนมจะไหลออกมาหลังจากให้นมทารกไปได้ระยะหนึ่ง จะมีลักษณะข้นกว่า แต่ไม่มีการแบ่งแยกที่ชัดเจนระหว่างน้ำนมส่วนหน้ากับน้ำนมส่วนหลัง น้ำนมจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลง งานวิจัยของ Human Lactation Research Group ซึ่งนำโดยศาสตราจารย์ปีเตอร์ ฮาร์ทมันน์ (Peter Hartmann) แสดงว่าปริมาณไขมันจะแปรผันไปตามความสามารถในการดึงน้ำนมออกจนหมดเต้า ยิ่งมีน้ำนมในเต้าน้อยเท่าไร ปริมาณไขมันในน้ำนมจะยิ่งมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงเต้านมจะไม่มีทางหมดเต้าได้ เพระต่อมน้ำนมจะผลิตน้ำนมออกมาอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีประโยชน์ต่อทั้งแม่และทารก ทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ สารอาหารและภูมิต้านทานต่างๆ จะถูกส่งผ่านไปยังทารก ในขณะที่ฮอร์โมนจะหลั่งออกมาในร่างกายของแม่ สายสัมพันธ์ระหว่างทารกและแม่จะแนบแน่นมากขึ้นในระหว่างการให้ลูกกินนมแม่
ประโยชน์ต่อทารก
มีหลักฐานมากมายเกี่ยวกับประโยชน์ทางสุขภาพ ตามที่สถาบันกุมารแพทย์ของอเมริกากล่าวไว้ว่าการทำงานวิจัยมากมาย โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ที่หลากหลายและน่าทึ่งของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่มีต่อทารก, แม่, สมาชิกในครอบครัว และสังคม และการใช้น้ำนมแม่เป็นอาหารสำหรับทารก ประโยชน์ที่ได้คือ สุขภาพที่ดีกว่า สารอาหาร ภูมิต้านทาน ผลดีต่อสภาพจิตใจ สังคม เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม | ||
— คำแถลงนโยบายของสถาบันกุมารแพทย์อเมริกา |
ทารกที่กินนมแม่จะมีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคไหลตายในเด็ก (Sudden Infant Death Syndrome หรือ SIDS) และโรคอื่นๆ น้อยกว่า การดูดที่อกแม่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดพัฒนาการของฟันและอวัยวะในการออกเสียงอย่างเหมาะสม นอกจากนี้น้ำนมแม่ยังมีอุณภูมิที่เหมาะสมและมีพร้อมให้ทารกกินได้ทันที
ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งที่เด็กจะได้รับ จากการดื่มนมแม่ก็คือ เด็กจะมีภูมิคุ้มกันโรคได้หลายชนิด นอกจากนี้การให้ลูกดื่มนมยังช่วยให้ ลูกน้อยรู้สึกใกล้ชิดกับแม่ ซึ่งจะก่อให้เกิดความอบอุ่นใจและทำให้ลูกรู้สึกปลอดภัยอีกด้วย- การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเป็นโรคต่อไปนี้ได้
- โรคภูมิแพ้ (Allergies)
- โรคหอบหืด (Asthma)
- โรคไทรอยด์ (Autoimmune thyroid diseases)
- โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial meningitis)
- โรคมะเร็งเต้านม (Breast cancer)
- โรคขาดสารอาหาร (Celiac disease)
- โรคโครห์น (Crohn's disease)
- โรคเบาหวาน (Diabetes)
- โรคท้องร่วง (Diarrhea)
- โรคผิวหนังอักเสบออกผื่น (Eczema)
- กระเพาะและลำไส้เล็กอักเสบ (Gastroenteritis)
- โรคมะเร็งปุ่มน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กิน (Hodgkin's lymphoma)
- ลำไส้เล็กและใหญ่อักเสบ (Necrotizing enterocolitis)
- โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple sclerosis)
- โรคอ้วน (Obesity)
- หูชั้นกลางหรือแก้วหูอักเสบ (Otitis media)
- โรคติดเชื้อในทางเดินหายใจ (Respiratory infection และ Wheeze)
- โรคข้ออักเสบรูมาทอยด์ (Rheumatoid arthritis)
- โรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ (Urinary tract infection)
ประโยชน์ต่อแม่
การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีประโยชน์ต่อแม่ เพราะช่วยกระตุ้นการหลั่งของฮอร์โมนออกซีโทซินและโปรแลกติน ซึ่งทำให้แม่รู้สึกผ่อนคลายและมีความรู้สึกรักใคร่ทะนุถนอมทารก การให้ลูกกินนมแม่ทันทีหลังจากคลอดลูกจะช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนออกซีโทซินในร่างกาย ทำให้มดลูกเข้าอู่ได้เร็วและลดอาการตกเลือด
ไขมันที่ถูกสะสมในร่างกายในช่วงตั้งครรภ์จะถูกใช้ในการผลิตน้ำนม การยืดระยะเวลาการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้นานขึ้นจะช่วยให้แม่สามารถลดน้ำหนักตัวได้เร็ว การให้ลูกกินนมบ่อยๆ หรือให้ลูกกินนมแม่เพียงอย่างเดียวอาจจะทำให้การมีประจำเดือนช้าลง จึงมีส่วนในการช่วยคุมกำเนิด บางครั้งการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จึงถูกนำมาใช้เป็นวิธีการคุมกำเนิด ซึ่งอาจจะสามารถคุมกำเนิดได้ 98% โดยจะต้องประกอบด้วยเงื่อนไขต่อไปนี้
- การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะต้องเป็นแหล่งอาหารเพียงอย่างเดียวของทารก และทารกจะต้องดูดน้ำนมจากอกแม่เท่านั้น การให้ทารกกินนมผสม หรือการใช้เครื่องปั๊มนมแทนที่จะให้ทารกดูดจากอก และการให้กินอาหารเสริม จะลดความสามารถในการคุมกำเนิด
- ทารกจะต้องได้กินนมจากอกแม่ทุกๆ 4 ชั่วโมง ในตอนกลางวัน และทุกๆ 6 ชั่วโมง ในตอนกลางคืน เป็นอย่างน้อย
- ทารกอายุไม่เกิน 6 เดือน
- แม่จะต้องไม่มีประจำเดือนอย่างน้อย 56 วันหลังคลอด
แม่ยังคงสามารถให้ลูกกินนมแม่ในระหว่างตั้งครรภ์ได้ แต่โดยทั่วไปแล้ว การผลิตน้ำนมจะลดลงหลังจากตั้งครรภ์ได้ระยะหนึ่ง
แม่ที่ให้ลูกกินนมแม่จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลายๆ โรคลดลง เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก ฯลฯ
ขอขอบพระคุณเนื้อหาสาระจาก : http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88
ขอขอบพระคุณภาพประกอบจาก กระปุกดอทคอม
***************************************
สสส.หนุน"นมแม่ดีที่หนึ่งเลยทุกที่ ทุกคน สนับสนุนนมแม่ได้"
"นมแม่" สุดยอดอาหาร ลดป่วย 3 โรคร้าย มะเร็งเม็ดเลือดขาว-เบาหวาน-อ้วน ผลวิจัยล่าสุดพบ เด็กดูดนมแม่ไอคิวดีกว่าเด็กที่ไม่ดื่มเฉลี่ยเกือบ 10 จุด
พญ.ศิริพร กัญชนะ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย กล่าวว่า งานวิจัยจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ พบว่การดื่มนมแม่นอกจากจะทำให้ลูกไม่ป่วยบ่อย ไม่เป็นโรคแพ้โปรตีนนมวัว และยังส่งผลต่อสุขภาพของเด็กเมื่อเติบโตด้วย
ข้อมูลยืนยันว่าเด็กที่ดื่มนมแม่จะลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้าย 3 โรค ได้มากกว่าเด็กที่ไม่ดื่มนมแม่ คือ
1.ลดการเกิดโรคเบาหวานได้ 40% คือถ้ามีเด็กไม่ได้กินนมแม่และโตขึ้นเป็นเบาหวาน 100 คน ถ้าเปลี่ยนเด็กกลุ่มนี้มากินนมแม่ เมื่อโตขึ้นจะเป็นเบาหวานเพียง 60 คน
2.ลดการเกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ 20%
3.ลดการเกิดโรคอ้วนได้ 22% ซึ่งหมายความว่าอาจช่วยลดการเกิดโรคความดันโลหิตสูง และเส้นโลหิตอุดตันเมื่อสูงวัยด้วย
ขณะที่การศึกษาล่าสุดในฟิลิปปินส์ ที่ติดตามเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 8.5 ปี พบเด็กที่ดื่มนมแม่มีไอคิวดีกว่าเด็กที่ไม่ได้ดื่มเฉลี่ยเกือบ 10 จุด
"นมแม่ยังช่วยปกป้องสิ่งแวดล้อม เพราะไม่ต้องมีกระบวนการต้มน้ำ ไม่มีขยะ ไม่ต้องใช้กระป๋อง ไม่ใช้ขวด ไม่มีจุกนม ไม่ต้องขนส่งขณะที่กระป๋องนม 500 ล้านกระป๋อง ต้องใช้แผ่นตะกั่วในการผลิตถึง 86,000 ตัน และใช้กระดาษปะที่ข้างกระป๋องอีก 1,230 ตัน ที่สำคัญยังการให้ลูกดื่มนมแม่ มีผลดีโดยตรงต่อสุขภาพของผู้ที่เป็นแม่ช่วยลดโอกาสมะเร็งเต้านมและรังไข่ รวมถึงเกิดโรคกระดูกพรุน" พญ.ศิริพร กล่าว
โดยในวันที่ 1-7 ส.ค. ซึ่งเป็นสัปดาห์นมแม่โลกสากล กรมอนามัย สธ.จึงร่วมกับศูนย์นมแม่ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) รณรงค์ "นมแม่ดีที่หนึ่งเลยทุกที่ ทุกคน สนับสนุนนมแม่ได้" โดยเผยแพร่ภาพพระฉายาลักษณ์โปสเตอร์ของพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมิโชติ
ขอขอบพระคุณเนื้อหาจาก หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ โดย suvimon | วันที่ 1 สิงหาคม 2551